๗๙ เพื่อน...ที่วัดพระบาทน้ำพุ ภาพที่เคยดูผ่านสื่อต่างๆ ของสภาพผู้ป่วยด้วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่วัดพระบาทน้ำพุ เห็นแล้วน่ากลัวด้วยสภาพของโรคที่ปรากฏในสังขารของผู้ป่วย ซึ่งก็ไม่เคยคิดว่าจะได้ไปที่นั่น..... แต่แล้ว เมื่อ ผอ.ที่ทำงานเก่า ชวนสร้อยฟ้ามาลากับพี่ที่ทำงานอีก ๒ คน ไปทำบุญที่วัดแถวๆ จังหวัดลพบุรี ก็ไม่ยอมบอกหรอกว่าวัดไหน... พอรถขับเข้าประตูวัด ถึงได้รู้ว่า มาวัดพระบาทน้ำพุ... พอขับเข้ามา ทางด้านขวามือจะเป็นบ้านหลังๆ ไว้สำหรับผู้ป่วยที่เป็นครอบครัวเดียวกัน... พอผ่านตรงนี้ไป ผอ.บอกว่า เพื่อนพี่อยู่ทางนี้พร้อมชี้นิ้วให้ดู ก็เป็นเรือนใหญ่มีหน้าต่างกว้างๆ อยู่ทางด้านซ้ายมือ สร้อยฟ้ามาลามองเข้าไปขณะรถค่อยๆ วิ่งผ่าน เห็นผู้ป่วยนอนอยู่บนเตียง บางคนนั่งอยู่บนเตียง บางคนก็ลุกขึ้นเดินอยู่ ที่รู้ว่าเป็นผู้ป่วยเพราะเขาสวมชุดของคนป่วยอยู่ รถก็แล่นผ่านเรือนหลังนี้ไป แล้วก็ไปจอดใกล้ๆ กับเรือนผู้ป่วยหลังใหญ่อีกหลัง วันนี้ พวกเราได้พบหลวงพ่ออลงกตที่หน้าเรือนนี้พอดี ได้เข้าไปกราบและสนทนา พร้อมทั้งมอบของใช้และเงินทำบุญ หลวงพ่อได้กรุณาให้ผู้ป่วยที่เป็นผู้หญิงแต่สุขภาพแข็งแรงอยู่เป็นผู้นำเยี่ยมผู้ป่วย.... เอาหล่ะสิ... ใจเต้นเลย จากภาพที่เคยดูมาผ่านสื่อต่างๆ เริ่มหวั่นๆ แต่ขาก็เดินก้าวเข้าไปผ่านประตูเรือนนอนผู้ป่วยด้วยใจระทึกพร้อมๆ กับนึกปลงในใจว่า ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร... ภาพที่เห็นเบื้องหน้าไม่น่ากลัวอย่างนั้น แต่สภาพหลายๆ คนนอนหมดแรงร่างกายซูบผอมและรอความตาย บางคนก็นอนตายไปแล้วแต่เขายังไม่มาห่อผ้านำศพออกไป... ตอนนี้ ความรังเกียจไม่ได้ตกมาอยู่ที่ผู้ป่วย แต่ความรังเกียจมาตกอยู่ที่คณะของเราเอง เพราะอะไรหน่ะเหรอ เพราะว่าตอนนี้แหล่ะ พวกเราคือตัวอันตรายสำหรับผู้ป่วย พวกเรามีภูมิคุ้มกันแต่ผู้ป่วยไม่มี และพวกเราก็นำเชื้อโรคอะไรติดตัวมาบ้างก็ไม่รู้ แค่เชื้อหวัดธรรมดาที่เราติดตัวมาโดยไม่รู้ตัว มาแพร่ที่นี่ ผู้ป่วยก็แย่และจะตายได้ทุกเมื่อ ฉะนั้น ถ้าเราไปเยี่ยมผู้ป่วยโรคนี้ อย่าไปรังเกียจเขาเลย... เมื่อเยี่ยมชมเรือนผู้ป่วยเรือนนี้เสร็จแล้ว ผู้นำชม ก็ย้อนพาไปเยี่ยมอีกเรือนที่ ผอ.พูดว่า “เพื่อนพี่อยู่ที่นี่”... สร้อยฟ้ามาลาก็ไม่ได้คิดอะไรเดินตามไป เพราะก็คงจะได้เห็นผู้ป่วยนอนบนเตียง หรือลุกนั่งอยู่บนเตียงเหมือนอย่างที่เห็นตอนเข้ามาและเหมือนอย่างเรือนผู้ป่วยที่เพิ่งผ่านมา... และเมื่อก้าวแรกเดินเข้าสู่เรือนนี้ ภาพที่เห็นตอนแรกขณะที่นั่งรถเข้ามานั้นหายไปไหน ผู้ป่วยที่นอนอยู่บนเตียง นั่งอยู่บนเตียง กำลังเดินอยู่ในเรือนนี้ที่มองเห็นจากหน้าต่างผ่านเข้าไป หายไปไหนหมด..... ขณะนี้ทุกอย่างกลายเป็น ศพผู้ป่วยที่เขาอุทิศร่างให้ดูเป็นที่เตือนใจ เตือนสติ.... สร้อยฟ้ามาลา เดินเข้าไปในเรือนนี้ มองดู พิจารณาดูทุกร่าง อ่านป้ายอุทิศร่าง ชื่อของแต่และร่าง ทั้งที่นอนอยู่ ที่ถูกแขวนให้ยืนอยู่ ที่ยังอยู่ในน้ำยาดองศพ ทั้งศพเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้หญิง ผู้ชาย ... ความรู้สึกหดหู่เกิดขึ้น ความกลัวหายไป ยืนมองแต่ละร่างคิดย้อนไปเมื่อเขายังมีชีวิตมีร่างกายที่สวยงาม แต่ตอนนี้ทุกอย่างไม่มีอยู่ในร่างกายนี้แล้ว.... ไม่ว่าที่เห็นจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ขออุทิศผลบุญให้พวกเขาเหล่านี้ จงผ่านพ้นจากความทุกข์ทรมาน นำสู่ภพภูมิตามแรงกุศลของแต่ละคนที่ทำมาด้วย....
กับคำกล่าวที่ว่า..แม้นคนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะกำหนดทิศทางความเป็นไปของชีวิตได้ แต่สำหรับท่านผู้ป่วยเหล่านี้..คงเลยจุดที่จะเป็นผู้กำหนด เป็นผู้เลือกทิศทางชีวิตเสียแล้ว
เคยไปเยี่ยมญาติคนหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันได้เสียชีวิตไปแล้ว หลังจากที่ต้องทุกข์ทรมานมานาน 10 กว่าปี ใช่ค่ะ น่าสงสารมาก แต่กรรมกำหนดแล้วว่าต้องเป็นดังนี้ เหตุปัจจัยที่ทำให้ต้องเป็นเช่นนี้ไม่มีใครทำให้เขาเป็น กฏแห่งกรรมไม่มีข้อยกเว้น เราก็ได้แต่แค่สงสาร ให้กำลังใจ และช่วยได้เท่าที่กำลังเราจะทำได้ค่ะ