พระอภิธรรม 7 คัมภีร์ กองบรรณาธิการ ใช้พระอภิธรรมคัมภีร์ 7 บทสวดพระอภิธรรมในงานบำเพ็ญพระราชกุศลพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ตามตำนานพระพุทธเจ้ายกขึ้นมาแสดงแก่พุทธมารดาฟังที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์พร้อมเหล่าเทวดา <DD> <DD>ในการสวดพระอภิธรรม งานบำเพ็ญพระราชกุศล พระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ได้นิมนต์พระภิกษุจากวัดพระเชตุพน วัดมหาธาตุ วัดสุทัศนเทพวราราม วัดสระเกศ วัดระฆังโฆสิตาราม วัดจักรวรรดิราชาวาส วัดประยุรวงศาวาส วัดราชสิทธาราม มาในการนี้ โดยพระอภิธรรมคัมภีร์ที่ใช้สวด เป็นบทสวดพระอภิธรรมทำนองหลวงมี 7 บท (7 คัมภีร์) คือ <DD>1.พระสังคิณี ว่าด้วยเรื่องธรรมที่เป็นกุศล กับ อกุศล <DD>2.พระวิภังค์ ว่าด้วยเรื่องขันธ์ 5 <DD>3.พระธาตุกถา ว่าด้วยเรื่องการสงเคราะห์ธรรม <DD>4.พระปุคคะละปัญญัติ ว่าด้วยที่ตั้งของบุคคล <DD>5.พระกถาวัตถุ ว่าด้วยความจริงแท้ <DD>6.พระยะมะกะ ว่าด้วยธรรมที่เป็นคู่ <DD>7.พระมหาปัฏฐาน ว่าด้วยที่ตั้งใหญ่ <DD> <DD>พระคัมภีร์ทั้ง 7 บทใช้สวดในตั้งแต่ 07.00-24.00 น. ตลอดการพระราชพิธีสวดพระอภิธรรมพระศพทั้ง 7 วัน <DD>โดยในครั้งพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งเสด็จไปโปรดพุทธมารดา ได้ยกพระอภิธรรม 7 คัมภีร์เพื่อตอบแทนพระคุณของมารดา จึงเลือกธรรมะแสดงแก่พุทธมารดาฟังที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพราะเป็นสวรรค์ชั้นกลางๆ เทวดาชั้นต่ำก็สามารถขึ้นไปฟังได้ ชั้นที่สูงกว่าก็ลงมาฟังได้ ทำให้เหล่าเทวดาทั้งหลายได้บรรลุธรรมพร้อมกัน มีพระโสดาบันเป็นเบื้องต่ำ และอนาคามีเป็นเบื้องสูง พุทธมารดาทรงจุติที่สวรรค์ชั้นดุสิต เป็นสวรรค์ชั้นสูงกว่าดาวดึงส์ ใช้เวลาในการแสดง 3 เดือน (1 พรรษา) ปัจจุบันพระสงฆ์จึงใช้ธรรมะหมวดอภิธรรมเป็นบทสวดเนื่องในการสวดอภิธรรมศพ <DD>สำหรับบทแปลพระอภิธรรมจากภาษาบาลีเป็นภาษาไทย จัดทำโดยพระมหาพรชัย กุสลจิตโต วัดราชสิทธาราม บางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ มีดังนี้ <DD> <DD>1.พระสังคิณี <DD>กุสะลา ธัมมา ธรรมที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุข มากามาวจรกุศลเป็นต้น <DD>อกุสะลา ธัมมา ธรรมที่เป็นอกุศลให้ผลเป็นทุกข์ มีโลภมูลจิตแปดเป็นต้น <DD>อัพยากะตา ธัมมา ธรรมที่เป็นอัพยากฤตเป็นจิตกลางๆ มีอยู่ มีผัสสะเจตนาเป็นต้น <DD>กะตะเม ธัมมา กุสะลา ยัสมัง สะมะเย ในสมัยใด ธรรมที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุขย่อมบังเกิดขึ้นอย่างไรบ้าง <DD>กามาวะจะรัง กุสะลัง จิตตัง จิตที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุข ย่อมนำสัตว์ให้ไปเกิดในกามภพทั้งเจ็ด คือมนุษย์ 1 สวรรค์ 6 <DD>อุปปันนัง โหติ ย่อมบังเกิดมีแก่ปุถุชนผู้เป็นสามัญชน <DD>โสมะนัสสะสะหะคะตัง เป็นไปพร้อมกับจิตด้วย ที่เป็นโสมนัสความสุขใจ <DD>ญาณะสัมปะยุตตัง ประกอบพร้อมด้วยญาณเครื่องรู้คือปัญญา <DD>รูปารัมมะณัง วา มีจิตยินดีในรูป มีรูปพระพุทธเจ้าเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง <DD>สัทธารัมมะณัง วา มีจิตยินดีในเสียง มีเสียงท่านแสดงพระสัทธรรมเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง <DD>คันธารัมมะณัง วา มีจิตยินดีในกลิ่นหอม แล้วคิดถึงการกุศล มีพุทธบูชาเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง <DD>ระสารัมมะณัง วา มีจิตยินดีในรสเครื่องบริโภค แล้วยินดีใคร่บริจาคเป็นทานเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง <DD>โผฏฐัพพารัมมะณัง วา มีจิตยินดีในอันถูกต้อง แล้วก็คิดให้ทานเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง <DD>ธัมมารัมมะณัง วา มีจิตยินดีในที่เจริญพระสัทธรรมกรรมฐาน มีพุทธานุสสติเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง <DD>ยัง ยัง วา ปะนารัพภะ อีกอย่างหนึ่งความปรารภแห่งจิต ก็เกิดขึ้นในอารมณ์ใดๆ <DD>ตัสมิง สะมะเย ผัสโส โหติ ความกระทบผัสสะแห่งจิต จิตที่เป็นกุศลก็ย่อมบังเกิดขึ้นในสมัยนั้น <DD>อะวิกเขโป โหติ อันว่าเอกัคคตาเจตสิกอันแน่แน่วในสันดานก็ย่อมบังเกิดขึ้น <DD>เย วา ปะนะ ตัสมิง สะมะเย อีกอย่างหนึ่ง ธรรมทั้งหลายเหล่าใด ก็ย่อมบังเกิดขึ้นในกาลสมัยนั้น <DD>อัญเญปิ อัตถิ ปะฏิจจะสะมุปปันนา ธรรมทั้งหลายอาศัยซึ่งจิตทั้งหลายอื่นมีอยู่ แล้วอาศัยกันและกันก็บังเกิดมีขึ้นพร้อม <DD>อะรูปิโน ธัมมา เป็นแต่นามธรรมทั้งหลายไม่มีรูป <DD>อิเม ธัมมา กุสะลา ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ ชื่อว่าเป็นกุศลให้ผลเป็นสุข แก่สัตว์ทั้งหลายแล <DD> <DD>2.พระวิภังค์ <DD>ปัญจักขันธา กองแห่งธรรมชาติทั้งหลายมี 5 ประการ <DD>รูปักขันโธ รูป 28 มีมหาภูติรูป 4 เป็นต้น เป็นกองอันหนึ่ง <DD>เวทะนากขันโธ ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขและเป็นทุกข์ เป็นโสมนัสและโทมนัส และอุเบกขา เป็นกองอันหนึ่ง <DD>สัญญากขันโธ ความจำได้หมายรู้ ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ อันบังเกิดในจิต เป็นกองอันหนึ่ง <DD>สังขารักขันโธ เจตสิกธรรม 50 ดวง เป็นเครื่องปรุงแต่งจิตให้คิดอ่านไปต่างๆ มีบุญเจตสิกเป็นต้นที่ให้สัตว์บังเกิด เป็นกองอันหนึ่ง <DD>วิญญาณักขันโธ วิญญาณจิต 89 ดวงโดยสังเขป เป็นเครื่องรู้แจ้งวิเศษมีจักขุวิญญาณเป็นต้น เป็นกองอันหนึ่ง <DD>ตัตถะ กะตะโม รูปักขันโธ กองแห่งรูปในปัญจขันธ์ทั้งหลายนั้นเป็นอย่างไรบ้าง <DD>ยังกิญจิ รูปัง รูปอันใดอันหนึ่ง <DD>อะตีตานาคะตะปัจจุปันนัง รูปที่เป็นอดีตอันก้าวล่วงไปแล้ว และรูปที่เป็นอนาคตอันยังมาไม่ถึง และรูปที่เป็นปัจจุบันอยู่ <DD>อัชฌัตตัง วา เป็นรูปภายในหรือ <DD>พะหิทธา วา หรือว่าเป็นรูปภายนอก <DD>โอฬาริกัง วา เป็นรูปอันหยาบหรือ <DD>สุขุมัง วา หรือว่าเป็นรูปอันละเอียดสุขุม <DD>หีนัง วา เป็นรูปอันเลวทรามหรือ <DD>ประณีตัง วา หรือว่าเป็นรูปอันประณีตบรรจง <DD>ยัง ทูเร วา เป็นรูปในที่ไกลหรือ <DD>สันติเก วา หรือว่าเป็นรูปในที่ใกล้ <DD>ตะเทกัชฌัง อะภิวัญญูหิตวา พระผู้มีพระภาคทรงประมวลเข้ายิ่งแล้วซึ่งรูปนั้นเป็นหมวดเดียวกัน <DD>อะภิสังขิปิตวา พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่นย่อเข้ายิ่งแล้ว <DD>อะยัง วุจจะติ รูปักขันโธ กองแห่งรูปธรรมอันนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่าเป็นรูปขันธ์ แล <DD> <DD>3.พระธาตุกถา <DD>สังคะโห พระพุทธองค์สงเคราะห์ซึ่งเจตสิกรูปเข้าในขันธ์เป็นหมวด 1 <DD>อะสังคะโหฯ พระพุทธองค์ไม่สงเคราะห์ซึ่งรูปธรรมทั้งหลายเข้าในขันธ์เป็นหมวด 1 <DD>สังคะหิเตนะ อะสังคะหิตัง พระพุทธองค์ไม่สงเคราะห์ซึ่งเจตสิกรูป ด้วยธรรมอันสงเคราะห์แล้ว <DD>อะสังคะหิเตนะ สังคะหิตัง พระพุทธองค์สงเคราะห์ซึ่งเจตสิกรูป ด้วยธรรมอันมิได้สงเคราะห์ <DD>สังคะหิเตนะ สังคะหิตัง พระพุทธองค์สงเคราะห์ซึ่งเจตสิกรูป ด้วยธรรมอันสงเคราะห์แล้ว <DD>อะสังคะหิเตนะ อะสังคะหิตังฯ พระพุทธองค์ไม่สงเคราะห์ซึ่งเจตสิกรูป ด้วยธรรมอันมิได้สงเคราะห์ <DD>สัมปะโยโค เจตสิกธรรมทั้งหลายอันประกอบพร้อมกับจิต 55 <DD>วิปปะโยโคฯ เจตสิกธรรมทั้งหลายอันประกอบแตกต่างกันกับจิต <DD>สัมปะยุตเตนะ วิปปะยุตตัง ประกอบเจตสิกอันต่างกัน ด้วยเจตสิกอันประกอบพร้อมกันเป็นหมวดเดียว <DD>วิปปะยุตเตนะ สัมปะยุตตัง ประกอบเจตสิกอันบังเกิดพร้อมกัน ด้วยเจตสิกอันต่างกันเป็นหมวดเดียว <DD>อะสังคะหิตังฯ พระพุทธองค์ไม่สงเคราะห์ซึ่งธรรมอันไม่สมควรสงเคราะห์ให้ระคนกัน <DD> <DD>4.พระปุคคะละปัญญัติ <DD>ฉะ ปัญญัตติโย ธรรมชาติทั้งหลาย 6 อันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้ <DD>ขันธะปัญญัตติ กองแห่งรูปและนามเป็นธรรมชาติ อันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้ <DD>อายะตะนะปัญญัตติ บ่อเกิดแห่งตัณหา คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้ <DD>สัจจะปัญญัตติ ของจริงอย่างประเสริฐ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นธรรมชาติอันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้ <DD>อินทริยะปัญญัตติ อินทรีย์ 22 เป็นธรรมชาติอันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้ <DD>ปุคคะละปัญญัตติ บุคคลที่เป็นธรรมชาติอันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้ <DD>กิตตาวะตา ปุคคะลานัง แห่งบุคคลทั้งหลายนี่มีกี่จำพวกเชียวหนอ <DD>ปุคคะละปัญญัตติ บุคคลที่เป็นธรรมชาติอันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้ <DD>สะมะยะวิมุตโต พระอริยบุคคล ผู้มีจิตพ้นวิเศษเป็นสมัยอยู่ มีพระโสดาบันเป็นต้น <DD>อะสะมะยะวิมุตโต พระอริยบุคคล ผู้มีจิตพ้นวิเศษไม่มีสมัย มีพระอรหันต์เป็นต้น <DD>กุปปะธัมโม ฌานที่เป็นเครื่องฆ่ากิเลส อันบุคคลได้แล้ว ย่อมกำเริบสูงไป <DD>อะกุปปะธัมโม ฌานที่เป็นเครื่องเผากิเลส อันบุคคลได้แล้ว ย่อมไม่กำเริบ <DD>ปะริหานะธัมโม ฌานที่เป็นเครื่องฆ่ากิเลส อันบุคคลได้สูงขึ้นไปแล้ว ย่อมเสื่อมถอยลง <DD>อะปะริหานะธัมโม ฌานที่เป็นเครื่องเผากิเลส อันบุคคลได้สูงขึ้นไปแล้ว ย่อมไม่เสื่อมถอย <DD>เจตะนาภัพโพ ฌานที่เป็นเครื่องฆ่ากิเลส อันบุคคลได้แล้ว ไม่สามารถที่จะรักษาไว้ในสันดาน <DD>อะนุรักขะนาภัพโพ ฌานที่เป็นเครื่องฆ่ากิเลส อันบุคคลได้แล้ว ก็ตามรักษาไว้ในสันดาน <DD>ปุถุชชะโน บุคคลที่มีอาสวะเครื่องย้อมใจ อันหนาแน่นในสันดาน <DD>โคตระภู บุคคลที่เจริญในพระกรรมฐานตลอดขึ้นไปถึงโคตรภู <DD>ภะยูปะระโต บุคคลที่เป็นปุถุชน ย่อมมีความกลัวเป็นเบื้องหน้า <DD>อะภะยูปะระโต พระขีณาสะวะ บุคคลผู้มีความกลัวอันสิ้นแล้ว <DD>ภัพพาคะมะโน บุคคลผู้มีวาสนาอันแรงกล้า สามารถจะได้มรรคและผลในชาตินั้น <DD>อะภัพพาคะมะโน บุคคลผู้มีวาสนาอันน้อย ไม่สามารถจะได้รับมรรคผลในชาตินั้น <DD>นิยะโต บุคคลผู้กระทำซึ่งปัญจอนันตริกรรม มีปิตุฆาตเป็นต้น <DD>อะนิยะโต บุคคลผู้มีคติปฏิสนธิไม่เที่ยง ย่อมเป็นไปตามยถากรรม <DD>ปะฏิปันนะโก บุคคลผู้ปฏิบัติมั่นเหมาะในพระกรรมฐาน เพื่อจะได้พระอริยมรรค <DD>ผะเลฏฐิโต บุคคลผู้ตั้งอยู่ในพระอริยผล มีพระโสดาบันปัตติผลเป็นต้นตามลำดับ <DD>อะระหา บุคคลผู้ตั่งอยู่ในพระอรหัตตผล เป็นผู้ควรแล้ว เป็นผู้ไกลแล้วจากกิเลส <DD>อะระหัตตายะ ปะฏิปันโน บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อจะให้ถึงพระอรหัตตผล เป็นผู้ควรแล้ว เป็นผู้ไกลแล้วจากกิเลสฯ <DD> <DD>5.พระกถาวัตถุ <DD>ปุคคะโล มีคำถามว่าสัตว์ว่าบุรุษว่าหญิงว่าชาย <DD>อุปะลัพภะติ อันท่านควรรู้ด้วยปัญญา อันบังเกิดในสันดานของท่านเถิด <DD>สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติ โดยปรมัตถ์คืออรรถอันอุดม เป็นอรรถอันจริงแท้มิได้แปรผันดังนี้มีอยู่หรือ <DD>อามันตา มีคำแก้ตอบว่าจริง สัตว์บุคคลหญิงชายมีอยู่ฯ <DD>โย มีคำถามว่า ปรมัตถธรรมมีประการ 57 มีขันธ์ 5 เป็นต้นทั้งหลายเหล่าใด <DD>สัจฉิกัตโถ ปะระมัตโถ เป็นปรมัตถ์คืออรรถอันอุดม เป็นอรรถอันจริงแท้มิได้แปรผัน <DD>ตะโต โส โดยปรมัตถธรรมมีประการ 57 มีขันธ์ 5 เหล่านั้น <DD>ปุคคะโล ว่าเป็นสัตว์บุคคลเป็นหญิงเป็นชาย <DD>อุปะลัพภะติ อันท่านควรรู้ด้วยปัญญา อันบังเกิดในสันดานของท่าน <DD>สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติ โดยปรมัตถ์คืออรรถอันอุดม เป็นอรรถอันจริงแท้มิได้แปรผันดังนี้มีอยู่หรือฯ <DD>นะ เหวัง วัตตัพเพ มีคำแก้ตอบว่า ประเภทของปรมัตถ์มีขันธ์ 5 เป็นต้น เราไม่มีพึงกล่าวเชียวหนอฯ <DD>อาชานาหิ นิคคะหัง ผู้ถามกล่าวตอบว่า ท่านจงรับเสียเถิด ซึ่งถ้อยคำอันท่านกล่าวแล้วผิด <DD>หัญจิ ปุคคะโล ผิแลว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นหญิงเป็นชาย <DD>อุปะลัพภะติ อันท่านควรรู้ด้วยปัญญา อันบังเกิดในสันดานของท่าน <DD>สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนะ โดยปรมัตถ์คืออรรถอันอุดม เป็นอรรถอันจริงแท้มิได้แปรผัน <DD>เตนะ โดยประการอันเรากล่าวแล้วนั้น <DD>วะตะ เร ดังเรากำหนด ดูก่อนท่านผู้มีหน้าอันเจริญ <DD>วัตตัพเพ โย ปรมัตถธรรมมีประการ 57 มีขันธ์ 5 เป็นต้น อันเราพึงกล่าว <DD>สัจฉิกัตโถ ปะระมัตโถ เป็นอรรถอันกระทำในสว่างแจ้งชัด เป็นอรรถอันอุดม <DD>ตะโต โส โดยปรมัตถธรรมมีประการ 57 มีขันธ์ 5 เป็นต้นเหล่านั้น <DD>ปุคคะโล ว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นหญิงเป็นชาย <DD>อุปะลัพภะติ อันท่านควรรู้ด้วยปัญญา อันบังเกิดในสันดานของท่าน <DD>สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติฯ โดยปรมัตถ์คืออรรถอันอุดม เป็นอรรถจริงแท้มิได้แปรผันดังนี้ <DD>มิจฉา ท่านกล่าวในปัญหาเบื้องต้นกับปัญหาเบื้องปลาย ผิดกันไม่ตรงกันฯ <DD> <DD>6.พระยะมะกะ <DD>เย เกจิ จิตและเจตสิกบางพวกทั้งหลายเหล่าใด <DD>กุสะลา ธัมมา ธรรมที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้ <DD>สัพเพ เต จิตแลเจตสิกทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น <DD>กุสะลมูลา เป็นมูลเป็นที่ตั้งของรากเหง้าแห่งกุศล ให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้ฯ <DD>เย วา ปะนะ อีกอย่างหนึ่ง จิตและเจตสิกทั้งหลายเหล่านั้น <DD>กุสะลามูลา เป็นมูลเป็นที่ตั้งของรากเหง้าแห่งกุศล ให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้ <DD>สัพเพ เต ธัมมา ธรรมคือจิตและเจตสิกทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น <DD>กุสะลา ชื่อว่าเป็นกุศลให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้ฯ <DD>เย เกจิ จิตและเจตสิกบางพวกทั้งหลายเหล่าใด <DD>กุสะลา ธัมมา ธรรมเป็นกุศลให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้ <DD>สัพเพ เต จิตและเจตสิกทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น <DD>กุสะละมูลเลนะ เอกะมูลา เป็นมูลอันหนึ่งด้วยเป็นมูลเป็นที่ตั้งแห่งกุศลให้ผลเป็นสุขอันบัณฑิตควรสะสมไว้แล้วฯ <DD>เย วา ปะนะ อีกอย่างหนึ่ง จิตและเจตสิกทั้งหลายเหล่านั้น <DD>กุสะละมูเลนะ เอกะมูลา เป็นมูลอันหนึ่งด้วยเป็นมูลเป็นที่ตั้งห่างกุศลให้ผลเป็นสุขอันบัณฑิตควรสะสมไว้ <DD>สัพเพ เต ธัมมา ธรรมคือจิตและเจตสิกทั้งหลายทั้งปวง <DD>กุสะลา ชื่อว่าเป็นกุศลให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้ฯ <DD> <DD>7.พระมหาปัฏฐาน <DD>เหตุปัจจะโย ความไม่โลภไม่โกรธไม่หลงเป็นต้น เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้เกิดในที่สุข <DD>อารัมมะณะปัจจะโย อารมณ์ความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด <DD>อะธิปะติปัจจะโย ธรรมที่ชื่อว่าอธิบดี 4 ประการ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด <DD>อะนันตะระปัจจะโย จิตอันกำหนดในวัตถุและรู้แจ้งวิเศษในทวารทั้ง 6 เนื่องกันไม่มีระหว่าง เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด <DD>สะมะนันตะระปัจจะโย จิตอันกำหนดในวัตถุและรู้วิเศษในทวารทั้ง 6 พร้อมกัน ไม่มีระหว่าง เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด <DD>สะหะชาตะปัจจะโย จิตและเจตสิกอันบังเกิดกับดับพร้อม เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด <DD>อัญญะมัญญะปัจจะโย จิตและเจตสิกค้ำชูซึ่งกันและกัน เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด <DD>นิสสะยะปัจจะโย จิตและเจตสิกอาศัยซึ่งกันและกัน เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด <DD>อุปะนิสสะยะปัจจะโย จิตเจตสิกอันเข้าไปใกล้อาศัยซึ่งกันและกัน เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด <DD>ปุเรชาตะปัจจะโย อารมณ์ 5 มีรูปเป็นต้นมากระทบซึ่งจักษุ เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด <DD>ปัจฉาชาตะปัจจะโย จิตและเจตสิกที่บังเกิดภายหลังรูป เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด <DD>อาเสวะนะปัจจะโย ชะวะนะจิตที่แล่นไปส้องเสพซึ่งอารมณ์ต่อกัน เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด <DD>กัมมะปัจจะโย บุญบาปอันบุคคลกระทำแล้ว เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด ในที่ดีที่ชั่ว <DD>วิปากะปัจจะโย และวิเศษแห่งกรรมอันบุคคลกระทำแล้ว เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิดในที่ดีที่ชั่ว <DD>อาหาระปัจจะโย อาหาร 4 มีผัสสาหารเป็นต้น เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด <DD>อินทริยะปัจจะโย ธรรมชาติที่เป็นใหญ่ ในตา หู จมูก ลิ้น กายใจ เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด <DD>ฌานะปัจจะโย ธรรมชาติเครื่องฆ่ากิเลส เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิดในรูปพรหม <DD>มัคคะปัจจะโย อัฏฐังคิกะมรรคทั้ง 8 มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิดในโลกอุดร <DD>สัมปะยุตตะปัจจะโย จิตและเจตสิกอันบังเกิดสัมปยุตพร้อมในอารมณ์เดียวกันเป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด <DD>วิปปะยุตตะปัจจะโย รูปธรรมนามธรรมที่แยกต่างกัน มิได้ระคนกัน เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด <DD>อัตถิปัจจะโย รูปธรรมนามธรรมที่ยังไม่ดับ เป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด <DD>นัตถิปัจจะโย เจตสิกที่ดับแล้ว เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้เกิดจิตและเจตสิกในปัจจุบัน <DD>วิคะตะปัจจะโย จิตและเจตสิกที่แยกต่างกัน เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิดจิตและเจตสิกในปัจจุบัน <DD>อะวิคะตะปัจจะโยฯ จิตและเจตสิกที่ดับและมิได้ต่างกัน เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิดจิตและเจตสิกในปัจจุบันฯ. <DD> <DD> </DD>
<DD> (ภาพคุรุศิลปิน ครูเหม เวชกร) กราบมหาสาธุการ ท่านคุรุปราชย์แนบ มหานีรานนท์ ผู้ถ่ายทอดค่ะ อนุโมทนา ท่านเจ้าของกระทู้ค่ะ <DD> </DD>