หลวงพ่อสำเร็จศักดิสิทธิ / พระยโสชเถระ

ในห้อง 'ประวัติและนิทานธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 12 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,102
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,055
    นอนฟัง นั่งอ่าน | ลูกศิษย์ 2 คน ที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว

    เผือก สีขาว
    Oct 2, 2023
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,102
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,055
    นักบวชสุดห้าว! สัจจกนิครนถ์ท้าโต้วาทะกับพระพุทธเจ้า ผลจะเป็นอย่างไร? (ตามพระสูตร)

    แก่นธรรม
    Jan 13, 2025

    “ลองจินตนาการถึงนักโต้วาทีผู้ไม่เคยแพ้ใครในชีวิต เขาเปรียบตัวเองดั่งยอดนักรบที่แม้กระทั่ง ‘เสาที่ไม่มีชีวิต’ ยังต้องสะท้านเมื่อโต้เถียงกับเขา แต่วันนี้ เขาเดินทางมาพบกับพระพุทธเจ้า ความมั่นใจในปัญญาของตัวเองกำลังจะถูกทดสอบ กับคำสอนที่ลึกซึ้งที่สุดในโลก…เรื่องราวในครั้งนี้ไม่ใช่แค่การโต้เถียงธรรมดา แต่คือการปะทะกันระหว่าง ‘อัตตา’ และ ‘อนัตตา’ และผลลัพธ์จะพลิกมุมมองของเราไปตลอดกาล”

     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,102
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,055
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,102
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,055
    พระปุณณมันตานี l อรหันต์ผู้เลิศด้านแสดงธรรม #คนตื่นธรรม #พระพุทธเจ้า #พระไตรปิฎก #โหนกระแส

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Nov 1, 2024

    พระปุณมันตานีบุตรเถระ เป็นพระภิกษุสาวกเอตทัคคะของพระพุทธเจ้า นับเนื่องในพระอสีติมหาสาวก 80 องค์สำคัญในพระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาล พระปุณมันตานีบุตรเถระเป็นหลานของพระอัญญาโกณฑัญญะ ออกบวชโดยความชักชวนของพระอัญญาโกณฑัญญะ เมื่อออกบวชท่านได้กลับไปบ้านเดิม ตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรมจนบรรลุพระอรหันต์ เป็นผู้ตั้งในคุณธรรม 10 ท่านเคยสนทนากับพระสารีบุตรด้วยอุปมารถ 7 ผลัด ภายหลังได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้เลิศในด้าน ผู้เป็นธรรมกถึก (นักเทศน์) ท่านเป็นผู้ตั้งอยู่ในคุณธรรม 10 ประการ คือ
    1.มักน้อย
    2.สันโดษ
    3.ชอบสงัด
    4.ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ
    5.ปรารภความเพียร
    6.บริบูรณ์ด้วยศีล
    7.บริบูรณ์ด้วยสมาธิ
    8.บริบูรณ์ด้วยปัญญา
    9.บริบูรณ์ด้วยวิมุตติ
    10.บริบูรณ์ด้วยวิมุตติญาณทัศนะ
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,102
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,055
    กุททาลบัณฑิต l ความชนะที่ดี "บัณฑิตจอบเหี้ยน" #พระอรหันต์ #คนตื่นธรรม #พระพุทธเจ้า

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Apr 26, 2025

    เรื่องราวของ กุลทาลบัณฑิต ซึ่งเป็นบุรุษผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม โดยพึ่งพาน้ำฝนในการเพาะปลูก ทำให้ต้องใช้ชีวิตเป็นชาวไร่สลับกับการเป็นฤาษีในป่าหิมพานต์ถึงเจ็ดครั้ง การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตนี้เกิดจาก จอบเก่าๆ เพียงเล่มเดียว ซึ่งเขาตัดสินใจทิ้งลงแม่น้ำคงคาเพื่อตัดขาดจากทรัพย์สมบัติและความผูกพันทางโลก หลังจากนั้นเขาได้พบกับพระราชาแห่งเมืองพาราณสี และอธิบายความหมายของชัยชนะที่แท้จริง ซึ่งคือการเอาชนะ กิเลสภายในใจ เรื่องราวนี้ยังกล่าวถึงการบวชของพระราชาและกษัตริย์อีกหลายเมือง รวมถึงการตรัสรู้ของกุลทาลบัณฑิตซึ่งต่อมาคือ พระพุทธเจ้าโคตมะ และการไปเกิดในพรหมโลกหลังจากสิ้นชีวิต
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,102
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,055
    พระสุภากัมมารธีตุ l "เงินทอง ไม่ใช่อริยทรัพย์" #ฟังธรรม #คนตื่นธรรม #พระพุทธเจ้า #พระไตรปิฎก

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Apr 9, 2025

    พระสุภากัมมารธีตุ เป็น *พระเถรีในสมัยพุทธกาล* ซึ่งมีเรื่องราวปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก ขุทกนิกาย เถรีคาถา ท่านเป็น *ลูกสาวของนายช่างทองชาวกรุงราชคฤห์* ด้วยความที่นางเป็นลูกสาวของช่างทอง คนจึงเรียกนางว่า *สุภากัมมารธีตุ* และด้วยความที่นางมีรูปงาม หน้าตาดี ผิวพรรณผุดผ่อง จึงได้ชื่อว่า *สุภา* ครอบครัวของพระสุภามีฐานะร่ำรวย มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย และมีบุตรีเพียงคนเดียวคือสุภา บรรดาญาติจึงคาดหวังที่จะให้เธอแต่งงานกับชายที่เหมาะสม เพื่อสืบทอดทรัพย์สมบัติของตระกูล แต่นางกลับไม่สนใจและไม่มีใจน้อมไปตามความต้องการของญาติ วันหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมายังกรุงราชคฤห์ สุภาได้เข้าเฝ้าและฟังธรรม พระศาสดาทรงเห็นว่าอินทรีย์ของนางแก่กล้า เหมาะแก่การบรรลุธรรมคืออริยสัจ 4 หลังจากฟังธรรมแล้ว *สุภาได้บรรลุโสดาปัตติผล เป็นพระโสดาบัน* นับแต่นั้นมา จิตใจของนางก็น้อมไปในการบรรพชา ไม่ปรารถนาที่จะอยู่ครองเรือน นางขออนุญาตบวชจากบิดามารดา แต่ได้รับการคัดค้านและเกลี้ยกล่อมให้เห็นแก่บิดามารดาเมื่อแก่เฒ่า ทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่มากมาย การบำเพ็ญบุญโดยไม่ต้องบวช และความทุกข์ยากของการบวช แต่ด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่ ในที่สุดญาติก็ยินยอมอนุญาตให้เธอไปบวช โดยคิดว่าเมื่อเจอกับความทุกข์จากการต้องขอเขากิน ไม่ได้นอนสบาย และไม่มีคนรับใช้แล้ว นางจะสึกกลับมาเอง สุภาคัมมารเทตุได้บวชในสำนักของพระมหาปชาบดีโคตมี และได้เป็น *พระสุภาภิกษุณี* หรือ *พระสุภากัมมารธีตุเถรี* ท่านมีความยินดีในความสงบสงัด ความสุขในศีล และการปฏิบัติมรรคภาวนามากยิ่งขึ้น หลังจากบวชได้ 2-3 วัน บิดาและญาติก็มาเยี่ยมท่านที่อารามภิกษุณี และพยายามเกลี้ยกล่อมให้ท่านลาสิกขาเพื่อกลับไปใช้สอยทรัพย์สินและความสะดวกสบายต่างๆ พระเถรีคิดว่าควรสงเคราะห์ญาติโดยหาโอกาสแสดงธรรมเพื่อบรรเทาความยึดมั่นในทรัพย์สินและความหวังในตัวนาง เมื่อบวชได้ 4-7 วัน ญาติได้มาพบท่านอีกครั้งและกล่าวถึงข้อดีของการครองเรือน พระเถรีเห็นเป็นโอกาสจึงชี้แจง *โทษของการอยู่ครองเรือนและโทษของกาม* คือความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าใคร่น่าปรารถนา ท่านได้กล่าวถึงการที่ตนเองในวัยสาวได้ฟังธรรมแล้วไม่ประมาท จึงบรรลุอริยธรรม และไม่ยินดีในกาม เห็นภัยของเบญจขันธ์และอัตภาพ ยินดียิ่งในเนกขัมมะ ท่านได้ละทิ้งญาติ ทาส กรรมกร บ้านเรือน ไร่นา ความมั่นคง และสิ่งน่าเพลิดเพลินต่างๆ มายินดีในความสงบสงัด และออกบวชด้วยศรัทธา ท่านยังได้กล่าวว่าการที่ท่านทิ้งเงินทองออกบวช ย่อมไม่สมควรที่จะกลับไปยินดีในเงินทองอีก เพราะ *เงินทองไม่ใช่ "อริยทรัพย์"* มีแต่ทำให้เกิดความโลภ ความมัวเมา ความลุ่มหลง เป็นปัจจัยให้เกิดกิเลส ความหวาดระแวง ภาระในการรักษา ความหวั่นไหว ประมาท เศร้าหมอง ความผิดใจบาดหมาง และการทะเลาะวิวาท ส่วนผู้ที่ตกอยู่ในกามทั้งหลายก็เป็นเหตุแห่งการฆ่ากัน การถูกจองจำ ถูกลงโทษ ความเสื่อมเสีย ความเศร้าโศก และความพินาศอื่นๆ ท่านจึงเตือนญาติว่าเหตุใดจึงทำตัวเป็นศัตรูชักชวนให้ท่านติดอยู่ในกามทั้งหลาย และขอให้ญาติทราบว่าท่านเห็นภัยในกามแล้วจึงออกบวช หลังจากฟังธรรมกถาของพระเถรีแล้ว ญาติก็รู้ว่าสุภาไม่มีเยื่อใยในเพศฆราวาสอีกต่อไป และจะไม่พยายามชักชวนท่านอีก หลังจากนั้น พระสุภากัมมารธีตุเถรีได้เจริญวิปัสสนา ไม่นานนักก็ *บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา 4* เป็นภิกษุณีอรหันต์รูปหนึ่ง ท่านได้กล่าวว่าท่านได้ละความพินาศที่มีการเกิดเป็นเหตุแล้ว มีความยินดีในนิพพานทุกเมื่อ ไม่หวนกลับไปในกามอีก ท่านได้ปรารถนาความสงบเย็น จึงทำสงครามกับกาม สู้กับตัณหาด้วยความไม่ประมาท จนบรรลุถึงความสิ้นสังโยชน์คือพระนิพพาน ดำเนินไปตามอริยมรรคมีองค์ 8
    *วันที่พระสุภาบรรลุอรหัตถ์คือวันที่ 8 หลังจากการบวช* หลังจากบรรลุพระอรหันต์แล้ว ท่านได้นั่งเข้าผลสมาบัติอยู่ที่โคนต้นไม้ พระพุทธเจ้าทรงทราบขณะกำลังแสดงธรรมแก่หมู่ภิกษุณี จึงทรงสรรเสริญท่านให้เหล่าภิกษุณีฟังว่า *พระสุภากัมมารธีตุ (ธิดาช่างทอง) เป็นผู้ดำรงอยู่ในธรรม เข้าถึงธรรมที่ไม่หวั่นไหวคืออรหัตผล ด้วยการบรรลุอรหัตมรรค เข้าฌานผลสมาบัติอยู่ที่โคนต้นไม้* พระองค์ยังตรัสว่าท่านงดงามเพราะบรรลุพระสัทธรรมคือมรรค ผล นิพพาน อันพระอุบลวรรณาเถลีแนะนำ พระอุบลวรรณาเถลีได้แนะอุบายบรรลุธรรมให้แก่ท่าน พระพุทธเจ้ายังทรงยกย่องว่าพระสุภานั้นชนะลมมัจจุราช เป็นผู้เป็นไทยแก่ตัว ไม่เป็นหนี้ อบรมอินทรีย์แล้ว พรากจากกิเลสทั้งปวง ทำจิตเสร็จแล้ว ไม่มีอาสวะแล้ว ขณะนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงเห็นด้วยทิพยจักษุและทรงทราบว่าพระศาสดาทรงสรรเสริญพระสุภาเถรี จึงนำหมู่เทพดาวดึงส์มายังโคนต้นไม้นั้น ทรงอภิวาท ประคองอัญชลี นมัสการ แล้วเสด็จกลับไป
    เรื่องราวของพระสุภากัมมารธีตุแสดงให้เห็นถึง *ความมุ่งมั่นในการบรรพชาและการปฏิบัติธรรม* *การเห็นโทษของชีวิตฆราวาสและกามคุณ* *ความสำคัญของการละทิ้งทรัพย์สินเงินทองที่ไม่ใช่อริยทรัพย์* และ *การบรรลุธรรมอันสูงสุดด้วยความเพียรและความไม่ประมาท* การที่พระพุทธเจ้าและท้าวสักกะทรงยกย่องสรรเสริญพระสุภาเถรี ย่อมแสดงถึงคุณธรรมและความสำคัญของท่านในพระพุทธศาสนา
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,102
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,055
    พระอุรุเวลกัสสปเถระ l เอคทัคคะในทางผู้มีบริวารมาก #พระพุทธเจ้า #คนตื่นธรรม #โหนกระแส #พุทธวจนะ

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Nov 20, 2024

    พระอุรุเวลกัสสปะเถระ เป็นหนึ่งในอสีติมหาสาวกของพระโคตมพุทธเจ้า เป็นเอตทัคคะในทางผู้มีบริวารมาก พระอุรุเวลกัสสปะ เกิดในตระกูลพราหมณ์กัสสปโคตร มีน้องชาย 2 คน ชื่อ กัสสปะ เหมือนกัน เมื่อเจริญวัยขึ้นมา ได้ศึกษาจบไตรเพท คือ พระเวท 3 อย่าง ซึ่งเป็นคัมภีร์ ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของพราหมณ์ ได้แก่
    1.ฤคเวท (อรุพเพท) ประมวลบทสวดสรรเสริญเทพเจ้า
    2.ยชุรเวท (ยชุพเพท) บทสวดอ้อนวอนในพิธีบูชายัญต่าง ๆ 3.สามเวท ประมวลบทเพลงขับสำหรับสวงงดหรือร้องเป็นทำนองในพิธีบูชายัญ
    พระอุรุเวลกัสสปเถระ l เอคทัคคะในทางผู้มีบริวารมาก กัสสปะพี่ชายคนโตนั้นมีบริวาร 500 คน กัสสปะคนกลางมีบริวาร 300 คน และกัสสปะคนเล็กสุดท้าย มีบริวาร 200 คน ต่อมาทั้งสามพี่น้องมีความเห็นตรงกันว่า “ลัทธิที่พวกตนนับถืออยู่นั้นไม่มีแก่นสาร” จึงพากันออกบวชเป็นฤๅษีชฎิล เกล้าผมเซิง บำเพ็ญพรตบูชาไฟตั้งอาศรมอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ เนรัญชรา ตามลำดับกัน พี่ชายคนโต ตั้งอาศรมอยู่ที่คุ้งน้ำตอนเหนือ ณ ตำบลอุรุเวลา จึงได้ชื่อว่า “อุรุเวลกัสสปะ” น้องชายคนกลาง ตั้งอาศรมอยู่ที่คุ้งน้ำถัดไป ณ ตำบลนที จึงได้ชื่อว่า “นทีกัสสปะ” ส่วนน้องชายคนเล็ก ตั้งอาศรมอยู่ที่คุ้งน้ำ ณ ตำบลคยา จึงได้ชื่อว่า “คยากัสสปะ”
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,102
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,055
    พระราธเถระ l เอตทัคคะในทางผู้ว่าง่าย เป็นรูปแรกใช้วิธีการบวชจนถึงทุกวันนี้ #พระพุทธเจ้า #คนตื่นธรรม

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Dec 1, 2024

    พระราธะ เป็นพระภิกษุรูปแรก ที่บวชด้วยวิธีญัตติจตุตถกรรมจนถึงทุกวันนี้ เอตทัคคะ หมายถึง ผู้ยอดเยี่ยมในทางใดทางหนึ่งเป็นพิเศษ, ในทางพุทธศาสนา หมายถึง พระสาวกที่ได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้ยอดเยี่ยมในทางใดทางหนึ่ง.
    พระราธเถระ เป็นบุตรตระกูลพราหมณ์ ในเมืองราชคฤห์ ฐานะเดิมของท่านนั้นจัดว่าอยู่ในขั้นเศรษฐี มีทรัพย์สินเงินทองมาก แต่เมื่อย่างเข้าสู่วัยชราถูกภรรยาและบุตรธิดาทอดทิ้งต้องกลายเป็นคนยากจนอนาถา ที่พึ่งพาอาศัยต้องเลี้ยงชีพด้วยการอาศัยพระภิกษุอยู่ในวัดพระเวฬุวันมหาวิหารต่อมา ราธพราหมณ์ มีศรัทธาปรารถนาจะบวช แต่ไม่มีภิกษุรูปใดที่จะสงเคราะห์บวชให้ ทำให้เกิดความทุกข์ใจ ร่างกายซูบผอมหน้าตาผิวพรรณหม่นหมอง พระบรมศาสดาทอดพระเนตรเห็นราธพราหมณ์มีร่างกายผิดปกติอย่างนั้นแล้วจึงได้ตรัสถาม ทราบความโดยตลอดแล้วรับสั่งถามภิกษุผู้อยู่ในวัดพระเวฬุวันมหาวิหารว่า:- “ภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดระลึกถึงอุปการคุณของราธพราหมณ์ผู้นี้ได้บ้าง ?” ขณะนั้น พระสารีบุตรเถระ ซึ่งอยู่ในที่ประชุมนั้นด้วย ได้กราบทูลว่า:- “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ระลึกได้ พระเจ้าข้า คือ วันหนึ่งข้าพระองค์ได้เข้า ไปบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์ พราหมณ์ผู้นี้เคยถวายอาหารข้าวสุขแก่ข้าพระองค์ ทัพพีหนึ่ง พระเจ้าข้า” ทรงอนุญาตการอุปสมบทด้วยวิธีญัตติจตุตถกรรม เป็นครั้งแรก พระบรมศาสดา ได้สดับแล้วตรัสยกย่องพระสารีบุตรเถระว่าเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที แล้วมอบราธพราหมณ์ให้ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ ดำเนินการบวชให้ และทรงประกาศยกเลิกการอุปสมบทด้วยวิธี ไตรสรณคมน์ ที่พระองค์ทรงอนุญาตไว้แต่เดิมแล้ว ทรงอนุญาตการอุปสมบท ด้วยวิธีญัตติจตุตถกรรม อันเป็นวิธีอุปสมบท โดยมีสงฆ์เป็นใหญ่ พระสารีบุตรเถระ เป็นพระอุปัชฌาย์รูปแรก และพระราธะเป็นภิกษุผู้ได้รับการอุปสมบทด้วยวิธีนี้เป็นรูปแรก พระราธเถระ l เอตทัคคะในทางผู้ว่าง่าย การอุปสมบด้วยวิธีญัตติจตุตถกรรมนี้ได้ถือปฏิบัติสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน พระราธะ เมื่ออุปสมบทแล้ว วันหนึ่งได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคกราบทูลขอให้พระพุทธ องค์ตรัสสอนธรรมอันเป็นทางปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น พระพุทธองค์ตรัสสอนว่า:- “ดูก่อนราธะ สิ่งใดเป็นมาร เธอจงละความพอใจในสิ่งนั้นเสีย สิ่งที่เรียกว่ามาร คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ซึ่งเป็นสภาพไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นของมิใช่ตัวตน มีความเกิดขึ้น ดำรงอยู่ เปลี่ยนแปลง และสูญสิ้นไปเป็นธรรมดา ดังนั้น เธอจงละความพอใจในสิ่งอันเป็นมารเหล่านั้นเสีย” พระราธะ รับเอาพระโอวาทนั้นเป็นแนวทางปฏิบัติแล้วได้ติดตามพระสารีบุตรเถระ พระอุปัชฌาย์ไปตามสถานที่ต่าง ๆ ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหัตผล
    พระพุทธองค์ตรัสถามว่า:- “ดูก่อนสารีบุตร พระราธะสัทธิวิหาริยศิษย์ของเธอเป็นอย่างไรบ้าง ?” “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เธอเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย แนะนำสั่งสอนตักเตือนอย่างไร ก็ ปฏิบัติตามแต่โดยดี ไม่เคยโกรธเคืองเลย พระเจ้าข้า”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กันยายน 2025
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,102
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,055
    มัฏฐกุณฑลี l จิตเลื่อมใสไปสวรรค์ #นิทานธรรมบท

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Jan 15, 2025

    เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อ *มัฏฐกุณฑลีบุตรชายวัย 16 ปีของพราหมณ์อทินปุพพกะ เกิดป่วยเป็นโรคผอมเหลือง* มารดาเป็นห่วงบุตรชายจึงขอร้องให้สามีไปหาหมอมารักษา แต่พราหมณ์อทินผุพกะเป็นคนตระหนี่ ไม่ต้องการเสียทรัพย์ จึงปฏิเสธภรรยา เขาเลือกที่จะไปถามวิธีปรุงยาจากหมอ แล้วนำมาปรุงยาให้บุตรชายเอง จากเรื่อง *มัฏฐกุณฑลี* แสดงให้เห็นถึงพลังแห่งความเลื่อมใสอย่างชัดเจน แม้มัฏฐกุณฑลีจะไม่ได้ทำบุญด้วยการให้ทาน บูชา รักษาอุโบสถ แต่ด้วยจิตใจที่เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าขณะใกล้สิ้นใจ ทำให้เขาได้ไปเกิดในสวรรค์บนวิมานทองคำสูง 30 โยชน์
    • *มัฏฐกุณฑลี* ในขณะที่กำลังป่วยหนัก ได้เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมา แม้ร่างกายจะอ่อนแอ แต่ด้วยความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า เขาจึงตั้งใจทำจิตให้เลื่อมใส จนสิ้นใจและได้ไปเกิดในสวรรค์
    • *พราหมณ์อทินปุพพกะ* ผู้เป็นบิดา เมื่อได้ฟังเรื่องราวของบุตรจากเทวดาที่จำแลงกายมา จึงเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ และปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ
    • *มหาชน* ที่มาฟังพระธรรมเทศนา เมื่อได้ฟังเรื่องของมัฏฐกุณฑลี และได้เห็นเทวดาที่ลงมาจากสวรรค์ ยิ่งเกิดความเลื่อมใสในพุทธคุณ
    พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า *"ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ"* แสดงให้เห็นว่า *ความเลื่อมใส* เป็นพลังสำคัญที่สามารถนำบุคคลไปสู่สุคติได้ แม้ไม่ได้ทำบุญอย่างอื่นมากมาย
    มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา มนสา เจ ปสนฺเนน ภาสติ วา กโรติ วา ตโต นํ สุขมเนฺวติ ฉายาว อนุปายินี. “ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคคลมีใจผ่องใสแล้ว พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี ความสุขย่อมไปตามเขา เพราะเหตุนั้น เหมือนเงาไปตามตัวฉะนั้น.”
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,102
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,055
    พระพาหิยเถระ l เอตทัคคะในทางขิปปาภิญญา ผู้บรรลุธรรมเร็ว

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Dec 4, 2024

    พระพาหิยะ เกิดในวรรณแพศย์ ตระกูลกุฎุมพี แคว้นพาหิยะ คงจะเรียกชื่อท่านตามชื่อ แคว้น เมื่อเจริญวัยขึ้นได้ประกอบอาชีพค้าขายตามบรรพบุรุษ เนื่องจากมีถิ่นฐานอยู่แถบชายฝั่งทะเล จึงอาศัยเรือเดินทะเลบรรทุกสุวรรณภูมิ อันตั้งอยู่ในแคว้นกัมโพชะ อินเดียตอนเหนือ ท่าจอดเรือรับส่งขนถ่ายสินค้าที่ท่าเรือสุปปารกะ ในอปรันตชนบท เรือแตกแต่รอดตาย การเดินเรือค้าขายเป็นไปตามปกติตลอดมา แต่วันหนึ่งขณะที่เรือกำลังเล่นอยู่ในทะเลใกล้จะถึงท่าสุปปารกะ ได้มีลมพายุเกิดคลื่นใหญ่ซัดเรืออับปางลงลูกเรือตายทั้งหมด พาหิยะคนเดียวเท่านั้นที่อาศัยเกาะแผ่นกระดานสามารถพยุงกายมิให้จมน้ำตายเป็นเหยื่อปลาในทะเลพยายามกระเสือกกระสนประคองกายเข้ามาถึงฝั่งที่ท่าสุปปารกะได้ แต่พาหิยะก็มาถึงท่าเพียงตัวเท่านั้น เสื้อผ้าที่สวมใส่หลุดหายไปในทะเล เหลือแต่ร่างกายที่เปลือยเปล่า
    ณ บริเวณท่าเรือสุปปาระกะนั้น มีพ่อค้าประชาชนหนาแน่น เพราะเป็นศูนย์กลางการขนถ่ายสินค้าและการค้าขาย พาหิยะ นอนหมดแรงอยู่ที่ชายฝั่งทั้งหิวทั้งเพลีย นอนคิดหาหนทางเพื่อเอาชีวิตรอดต่อไป แต่รู้สึกเขินอายที่ร่างกายเปลือยเปล่า ไม่มีสิ่งใดปิดบังร่างกายเลย จึงใช้เปลือกไม้บ้างใบไม้บ้าง เท่าที่จะหาได้มาทำเป็นเครื่องปิดบังแทนเครื่องนุ่งห่ม และได้เข้าไปอาศัยร่มเงาที่ศาลเทพารักษ์แห่งหนึ่งใกล้ ๆ บริเวณท่าเรือสุปปารกะนั้น พอความเหนื่อยเพลียบรรเทาลงแล้ว จึงถือแผ่นกระเบื้องเที่ยวขออาหารจากชาวบ้าน อรหันต์เปลือย ในยุคสมัยนั้นคำว่า “พระอรหันต์” เป็นคำที่ประชาชนกล่าวขานกันทั่วไปว่า มีอยู่ที่โน่นบ้าง มีอยู่ที่นี่บ้าง แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดได้เคยพบพระอรหันต์จริง ๆ เลย พอได้เห็นพาหิยะผู้นุ่งเปลือกไม้ มีร่างกายผ่ายผอม ถือแผ่นกระเบื้องเดินมาในลักษณะอย่างนั้น ต่างก็พากันเข้าใจว่า“นี่แหละ คือ พระอรหันต์” ดังนั้นจึงพากันให้อาหารบริโภคอย่างอุดมสมบูรณ์ พร้อมทั้งเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ทำให้พาหิยะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น แต่พาหิยะปฏิเสธไม่ยอมรับเสื้อผ้ามาสวมใส่ เพราะเกิดความคิดว่า “ถ้าสวมใส่เสื่อผ้าแล้ว จะทำให้เสื่อมจากลาภสักการะ” อีกทั้งก็เริ่มเข้าใจผิดคิดว่าตนเป็นพระอรหันต์จริง ๆ จึงดำรงชีวิตและปฏิบัติตนไปตามนั้น ใบไม้และเปลือกไม้ที่แห้งไปก็เปลี่ยนใหม่ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้นามต่อท้ายชื่อของท่านว่า “ทารุจิริยะ”และเรียกชื่อท่านเต็ม ๆ ว่า “พาหิยทารุจิริยะ” ซึ่งแปลว่า พาหิยะผู้มีเปลือกไม้เป็นเครื่องนุ่งห่มและท่านได้ดำเนินชีวิตโดยทำนองนี้เรื่องมาเป็นเวลานาน
    พระพรหมมาเตือนให้กลับใจ
    วันหนึ่ง ได้มีพระพรหม ผู้เคยเป็นสหายเก่าที่เคยปฏิบัติธรรมร่วมกันในอดีตชาติกับพาหิยะ และได้บรรลุธรรมถึงชั้นอนาคามิผล เมื่อตายแล้วได้ไปเกิดในพรหมชั้นสุทธาวาส ได้ติดตามดูพฤติกรรมของพาหิยะมาตลอด เห็นว่าสหายกำลังปฏิบัติผิดทาง ดำเนินชีวิตด้วยการลวงโลก ซึ่งจะทำให้เขาไปเกิดในทุคติอบายภูมิ จึงลงมาเตือนให้สติว่า “พาหิยะ ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ บัดนี้ พระอรหันต์ที่แท้จริงเกิดขึ้นแล้วในโลก ขณะนี้พระองค์ประทับอยู่ ณ พระเชตะวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถีแคว้นโกศล”
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,102
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,055
    "อัมราปาลี" จากหญิงงามเมืองสู่พระอรหันต์ | พุทธประวัติสอนใจ

    1M Master - Buddha
    Aug 26, 2025

    เรื่องราวพุทธประวัติสุดสะเทือนใจของ 'อัมราปาลี' จากหญิงงามเมืองผู้เลอโฉมสู่พระอรหันต์เถรีผู้เป็นที่เคารพ ร่วมเดินทางผ่านชีวิตที่เต็มไปด้วยความทุกข์ในกรงทอง สู่การพบแสงสว่างแห่งพระธรรม และการตัดสินใจอันเด็ดเดี่ยวที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ไปตลอดกาล เรื่องราวนี้คือบทพิสูจน์ว่า ไม่ว่าอดีตจะเป็นอย่างไร พลังแห่งความดีและความเพียรสามารถนำทางเราไปสู่ความหลุดพ้นได้เสมอ
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,102
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,055
    เจ้าหญิงสุมนา l ด้วยแรงอธิษฐาน เกิดทุกภพฝนตกเป็นดอกมะลิ #พระอรหันต์ #คนตื่นธรรม #พระพุทธเจ้า

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Mar 23, 2025

    ในสมัยของพระพุทธเจ้าวิปัสสี ธิดาของเศรษฐีที่เพิ่งเสียชีวิตได้ตั้งความปรารถนาขณะถวายพวงมาลัยดอกมะลิแด่พระพุทธเจ้า โดยปรารถนาให้มีความเป็นอยู่ราบรื่น มีความสุข เป็นที่รักใคร่ และมีชื่อว่าสุมนา (ซึ่งแปลว่าดอกมะลิ) ในทุกภพชาติ พระพุทธเจ้าวิปัสสีได้ตรัสให้พรตามความปรารถนานั้น เหตุการณ์สำคัญในอดีตชาติที่เกี่ยวข้องกับความปรารถนาของเธอ:
    • มารดาของเธอต้องการถวายมหาทานแด่พระพุทธเจ้าวิปัสสีเป็นครอบครัวแรก แต่ขัดข้องด้วยลำดับการถวายที่เสนาบดีเป็นผู้กำหนด
    • ธิดาเศรษฐีคิดหาวิธีนำอาหารไปถวายพระพุทธเจ้า โดยซ่อนข้าวปายาสอันประณีตไว้ในกระบะพวงมาลัยดอกมะลิ
    • เธอและเพื่อนสาว 500 คนนำกระบะพวงมาลัยไปดักรอถวายแด่พระพุทธเจ้า
    • คนของเสนาบดีอนุญาตให้เธอถวายดอกไม้ได้ เพราะเข้าใจว่าในกระบะมีเพียงดอกมะลิ
    • พระพุทธเจ้าวิปัสสีทรงรับพวงมาลัย และเมื่อเสด็จไปถึงเรือนเสนาบดีและทรงปฏิเสธบิณฑบาตของเสนาบดี โดยตรัสว่าทรงรับบิณฑบาต (คือข้าวปายาส) จากธิดาเศรษฐีแล้ว
    • เสนาบดีทราบเรื่องก็ชื่นชมในปัญญาของเธอ และต่อมาได้ขอเธอมาอยู่ในเรือนและมอบความเป็นใหญ่ในการทำบุญให้
    • เมื่อสิ้นชีวิตลง ธิดาเศรษฐีได้ไปเกิดในสวรรค์ และทันทีที่อุบัติก็มีฝนดอกมะลิตกลงมาทั่วสวรรค์ เหล่าเทพจึงเรียกเธอว่า *สุมนาเทพธิดา*
    • สุมนาเทพธิดาเวียนว่ายตายเกิดระหว่างสวรรค์กับมนุษย์เป็นเวลา 89 กัป และทุกที่ที่เธอเกิดจะมีดอกมะลิตกลงมาดั่งฝน สูงราวหัวเข่าเสมอ เธอจึงได้ชื่อว่าสุมนาทุกภพชาติ
    *ในพุทธกาลปัจจุบัน* ในสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโคตมะ:
    • สุมนาเทพธิดาได้จุติมาเกิดในครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระเจ้าประเสนทิโกศล พร้อมกับเพื่อนที่เคยอยู่ด้วยกัน 500 คน ซึ่งต่างก็ไปเกิดในครรภ์มารดาในตระกูลต่างๆ และคลอดในวันเดียวกัน
    • เมื่อพระราชธิดาประสูติ ก็เกิดเหตุอัศจรรย์คือมีดอกมะลิตกลงมามากมายดั่งฝน ท่วมสูงประมาณหัวเข่า พระราชาทรงพระราชทานนามให้ว่า *สุมนาราชธิดา*
    • พระราชาทรงให้เสาะหาเด็กหญิงที่เกิดในวันเดียวกับพระราชธิดา และพบว่ามีถึง 500 คน จึงทรงอุปถัมภ์และให้มาเป็นเพื่อนเล่นกับพระราชธิดา
    • เมื่อพระราชธิดาสุมนามีพระชันษา 7 ปี ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างพระเชตวันมหาวิหารสำเร็จ และทูลเชิญพระพุทธเจ้ามาทรงรับถวาย
    • พระเจ้าประเสนทิโกศลทรงอนุญาตให้พระราชธิดาสุมนาและเพื่อน 500 คนร่วมในพิธีรับเสด็จพระพุทธเจ้า โดยให้ถือหม้อน้ำ ของหอม และดอกไม้ ตั้งแถวรับเสด็จ
    • เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงบริเวณที่พระราชธิดาสุมนายืนอยู่ ทรงแสดงธรรมจบแล้ว พระราชกุมารีและเหล่าพระสหายก็ได้บรรลุ**โสดาปัตติผล** เป็นพระโสดาบันในวันนั้น นอกจากนี้ยังมีอุบาสก อุบาสิกา และเด็กหญิงอื่นๆ อีกจำนวนมากที่บรรลุโสดาปัตติผลในระหว่างทางเสด็จนั้น
    จากเรื่องราวของเจ้าหญิงสุมนา จะเห็นได้ว่า *แรงอธิษฐาน* ที่ตั้งมั่นในกุศลกรรมในอดีตชาติ ส่งผลให้เธอได้รับในสิ่งที่ปรารถนา ทั้งชื่อและความสุขในทุกภพชาติ รวมถึงการได้บรรลุธรรมในที่สุด เรื่องราวนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการทำบุญด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์และปัญญาในการกระทำ.
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,102
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,055
    ตัมพทาฐิกะ l เพชรฆาตเคราแดงฆ่าโจรมา 55 ปี ตายแล้วเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Feb 9, 2025

    *นายตัมพทาฐิกะ เพชฌฆาตผู้สังหารโจรมาตลอด 55 ปี* ซึ่งเดิมทีเป็นโจรเองแต่กลับใจมาเป็นเพชฌฆาตเพื่อแลกชีวิตตนเอง *เมื่อพ้นจากตำแหน่ง เขาได้ถวายภัตตาหารแก่พระสารีบุตร และได้รับฟังธรรม* แม้จะเคยทำบาปมากมาย *แต่ด้วยกุศลที่ได้จากการฟังธรรม ทำให้เขาละจากโลกนี้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต* เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าแม้กรรมหนักก็สามารถบรรเทาได้ด้วยศรัทธาและการฟังธรรม. *ตัมพทาฐิกะเป็นเพชฌฆาตที่ฆ่าโจรมาตลอด 55 ปี* ในอดีตชาติ เขาได้ฆ่าโจรไปมากกว่า 2,000 คน เรื่องราวของตัมพทาธิกะมีดังนี้:
    • ในสมัยพุทธกาล มีโจรกลุ่มใหญ่ประมาณ 500 คน คอยปล้นฆ่าประชาชนเพื่อเลี้ยงชีพ.
    • พระราชาแห่งแคว้นมคธทรงส่งมือปราบไปจับโจรทั้งหมดมาลงโทษ โดยให้ตัดหัว แต่ไม่มีเพชฌฆาตในเมืองนั้น.
    • ชาวเมืองเสนอให้หัวหน้าโจรฆ่าลูกน้องทั้งหมดเพื่อแลกกับชีวิต แต่ไม่มีใครยอม.
    • ในที่สุด ตัมพทาธิกะ เสนอตัวฆ่าพวกโจรเองเพื่อแลกกับชีวิต.
    • ด้วยเหตุนี้ ตัมพทาธิกะจึงรอดชีวิตและได้รับการแต่งตั้งเป็นเพชฌฆาตประจำเมือง.
    • เมื่อตัมพทาธิกะอายุมากขึ้น ไม่สามารถประหารชีวิตโจรได้ในดาบเดียว ทำให้โจรได้รับความทุกข์ทรมาน ญาติของโจรจึงประนามว่าเขาโหดร้าย ทำให้เขาถูกปลดออกจากตำแหน่ง.
    • เมื่อพ้นจากตำแหน่ง ตัมพทาธิกะขอให้ชาวเมืองจัดหายาคูเจือน้ำนม ผ้าใหม่ ดอกมะลิ และเครื่องลูบไล้ของหอมให้แก่ตน.
    • ขณะที่เขากำลังจะดื่มยาคู พระสารีบุตรได้มาปรากฏตัว ตัมพทาธิกะเกิดความเลื่อมใสจึงถวายยาคูแด่พระสารีบุตร.
    • พระสารีบุตรรู้ว่าตัมพทาธิกะอยากดื่มยาคู จึงให้เขาดื่ม.
    • พระสารีบุตรแสดงธรรม แต่ตัมพทาธิกะมีจิตใจฟุ้งซ่านเพราะคิดถึงกรรมที่ตนได้ทำ.
    • พระสารีบุตรจึงถามว่า เขาฆ่าคนตามใจชอบหรือมีคนใช้ให้ทำ เมื่อตัมพทาธิกะตอบว่ามีพระราชาสั่ง พระสารีบุตรจึงบอกว่าอกุศลย่อมไม่มีแก่เขา.
    • ตัมพทาธิกะเกิดความสบายใจและตั้งใจฟังธรรมจนได้อนุโลมิกขันติ.
    • หลังจากถวายอาหารแก่พระสารีบุตร ตัมพทาธิกะถูกนางยักษิณีแปลงเป็นแม่โคนมขวิดจนตาย.
    • เมื่อตายแล้ว เขาได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต.
    • พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตัมพทาธิกะได้กัลยาณมิตรใหญ่ และได้ฟังธรรมจากพระสารีบุตร.
    • แม้ตัมพทาธิกะจะทำอกุศลมามาก แต่การได้ฟังธรรมเพียงเล็กน้อยก็ยังเป็นประโยชน์.
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,102
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,055
    อายุวัฒนกุมาร l พ้นภัยยักษ์เพราะพระปริตร #แชร์ธรรมะได้บุญ #คนตื่นธรรม #พระพุทธเจ้า

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Feb 8, 2025

    อายุวัฒนกุมาร
    กล่าวถึงเด็กชายที่พราหมณ์สองคนพาไปให้ฤาษีทำนาย *ฤาษีทำนายว่าเด็กจะตายภายในเจ็ดวันแต่ไม่รู้วิธีช่วย* *จึงแนะนำให้ไปขอความช่วยเหลือจากพระพุทธเจ้า* พระพุทธเจ้าทรงช่วยเหลือเด็กชายโดยสั่งให้จัดพิธีป้องกันด้วยการให้ภิกษุทำปริตล้อมเด็กเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน *พิธีนี้ป้องกันยักษ์ที่ได้รับพรจากท้าวเวสสุวรรณจะมาทำร้ายเด็ก* ในที่สุดเด็กชายรอดชีวิตและมีอายุยืนถึง 120 ปี
    *เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงอานุภาพของพระพุทธเจ้าและความสำคัญของการเคารพนับถือผู้ใหญ่* อายุวัฒนกุมารเป็นเด็กชายที่รอดพ้นจากอันตรายถึงชีวิตด้วยความช่วยเหลือของพระพุทธเจ้า เรื่องราวของอายุวัฒนกุมารเริ่มต้นเมื่อพราหมณ์ผู้เป็นบิดาและภรรยาของเขาได้ไปเยี่ยมสหายบรรพชิต สหายบรรพชิตเห็นว่าเด็กชายมีอันตรายถึงชีวิตในอีก 7 วันข้างหน้า แต่ไม่รู้วิธีช่วยเหลือ จึงแนะนำให้พราหมณ์ไปหาพระสมณโคดม (พระพุทธเจ้า) เมื่อพราหมณ์และภรรยาไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ตรัสว่าเด็กชายจะมีชีวิตอยู่ได้อีก 7 วัน พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้พราหมณ์กลับไปทำปะรำมณฑบนอกบ้าน และจัดที่นั่ง 8 หรือ 16 ที่ล้อมรอบตั่งที่เด็กนอน จากนั้นพระองค์จะส่งสาวกไปนั่งล้อมเด็กและทำปริต การทำปริตในที่นี้หมายถึงการนั่งล้อมเพื่อป้องกันภัย ไม่ใช่การสวดมนต์ สาเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงทำเช่นนี้เพราะทรงทราบว่ามียักษ์ชื่ออวรุธยักษ์ได้รับพรจากท้าวเวสสุวรรณให้จับเด็กในเมืองทีฆัมภิกานครกินได้ในวันที่ 7 พระพุทธเจ้าทรงส่งภิกษุ 16 รูปไปนั่งล้อมเด็กไว้ตลอด 7 วัน 7 คืน เมื่อถึงวันที่ 7 พระพุทธเจ้าก็เสด็จมาประทับอยู่ในปะรำด้วย ทำให้เหล่าเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่พากันมาเข้าเฝ้า ส่วนอวรุธยักษ์ก็ต้องถอยออกไปไกล เมื่ออรุณวันใหม่มาถึง พรที่ยักษ์ได้รับก็สิ้นสุดลง ทำให้อายุวัฒนกุมารปลอดภัย
    • พระพุทธเจ้าตรัสว่า *เด็กชายจะมีอายุ 120 ปี* พราหมณ์และภรรยาจึงตั้งชื่อบุตรว่าอายุวัฒนกุมาร
    • ต่อมาอายุวัฒนกุมารได้เป็นพุทธมามกะ และมีอุบาสก 500 คนเป็นบริวาร
    • เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จกลับมายังเมืองนั้น อายุวัฒนกุมารได้พาหมู่บริวารเข้าเฝ้า
    • พระพุทธเจ้าตรัสว่า *ผู้กราบไหว้ท่านผู้มีคุณจะมีความเจริญ 4 ด้าน คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ*
    • อายุวัฒนกุมารและอุบาสกได้บรรลุโสดาปัตติผล
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,102
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,055
    พระเจ้าปายาสิ ผู้พิสูจน์ นรก-สวรรค์ l #แชร์ธรรมะได้บุญ #คนตื่นธรรม #พระพุทธเจ้า #ปายาสิสูตร

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Feb 7, 2025

    *พระเจ้าปายาสิ ผู้ปกครองเมืองขึ้นแห่งแคว้นโกศล ทรงมีความเห็นผิดว่าโลกอื่นไม่มี*
    พระกุมารกัสสปะได้เสด็จมายังเมืองนั้น และสนทนาธรรมกับพระเจ้าปายาสิเพื่อหักล้างทิฐิของพระองค์ โดยยกอุปมาต่างๆ มาเปรียบเทียบ *แม้พระเจ้าปายาสิจะยังคงยึดมั่นในทิฐิเดิม แต่สุดท้ายก็ทรงเลื่อมใสในพระธรรม และประกาศตนเป็นอุบาสก* พระองค์ทรงบริจาคทาน แต่ทานนั้นไม่ประณีต *เมื่อสิ้นพระชนม์ พระเจ้าปายาสิจึงได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรในจาตุมหาราชิกาภูมิ* ส่วนอุตตรมานพ ผู้จัดการทานให้พระองค์ ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เนื่องจากการให้ทานด้วยความเคารพ *พระเจ้าปายาสิ* มิได้เป็นกษัตริย์ที่ได้รับการสถาปนาอย่างกษัตริย์ทั่วไป แต่มีฐานะเป็นพญาปายาสิ. อย่างไรก็ตาม สามารถเรียกว่าราชาหรือเจ้าผู้ครองนครได้.
    พระเจ้าปายาสิครอบครองเมืองเสตัพพยนคร อันเป็นเมืองขึ้นของแคว้นโกศล ซึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลพระราชทานให้เป็นบำเหน็จ. เมืองนี้มีปศุสัตว์มาก มีหญ้า น้ำ และอาหารสมบูรณ์. พระเจ้าปายาสิทรงมีความคิดเห็นผิดๆ ว่าโลกอื่นไม่มี สัตว์ผุดโตขึ้นไม่มี อุปาติกะไม่มี ผลวิบากของกรรมไม่มี. ในสมัยหนึ่ง พระกุมารกัสสปะได้จาริกไปแคว้นโกศลพร้อมกับภิกษุสงฆ์ประมาณ 500 รูป และได้พักอยู่ที่สีสปาวัน ด้านทิศเหนือของเมือง. พระกุมารกัสสปะเป็นบุตรบุญธรรมของพระเจ้าปเสนทิโกศล และเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องในด้านการแสดงธรรม. พระเจ้าปายาสิได้สดับกิติศัพท์ของพระกุมารกัสสปะ และได้เสด็จไปพบเพื่อสนทนา. ในการสนทนา พระเจ้าปายาสิได้ประกาศทิฐิของตนว่าโลกอื่นไม่มี. พระกุมารกัสสปะได้ทรงถามถึงเหตุผลที่พระเจ้าปายาสิทรงมีความเห็นเช่นนั้น. พระเจ้าปายาสิได้ตรัสเล่าว่า พระองค์เคยสั่งให้มิตรอมาตย์ญาติที่ประพฤติชั่ว หากไปตกนรกให้กลับมาบอก แต่ก็ไม่มีใครกลับมา. พระกุมารกัสสปะได้ทรงยกอุปมาเปรียบเทียบต่างๆ เพื่อหักล้างทิฐิของพระเจ้าปายาสิ เช่น เปรียบเหมือนโจรที่ถูกจับได้แล้วไม่ได้รับอนุญาตให้กลับไปบอกญาติ.
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,102
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,055
    สาลิเกทารชาดก l "นกแขกเต้าเลี้ยงพ่อแม่" #อาจารย์ธนากร #พระพุทธเจ้า #พุทธวจน #พระไตรปิฏก #ชาดก 500

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Sep 27, 2025

    *สาริเกทชาดก* ซึ่งเป็นเรื่องราวในอดีตเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ที่เสวยพระชาติเป็น *พญานกแก้ว* ที่มีความกตัญญูเลี้ยงดูบิดามารดาที่แก่ชรา โดยบินไปหาอาหารที่ไร่ข้าวสาลีของพราหมณ์กสิยโคตร แม้จะถูกจับได้แต่ด้วยคำกล่าวที่เปี่ยมด้วย *ธรรมะ* และการอธิบายถึงการใช้หนี้เก่า การกู้หนี้ใหม่ และการฝังขุมทรัพย์ ทำให้พราหมณ์เกิดความเลื่อมใสในที่สุด พระศาสดาได้นำชาดกนี้มาแสดงเพื่อเน้นย้ำถึงความสำคัญของ *การเลี้ยงดูบิดามารดา* ว่าเป็นธรรมเนียมของบัณฑิตและผู้มีปัญญา
    • พระโพธิสัตว์: ในอดีตชาติ พระโพธิสัตว์ได้เสวยพระชาติเป็นพญานกแขกเต้า มีร่างกายงดงามและแข็งแรง ขนาดใหญ่เท่าดุมเกวียน อาศัยอยู่กับฝูงนกแขกเต้าหลายร้อยตัวในป่างิ้วบนภูเขา
    • ความกตัญญู: เมื่อบิดามารดาแก่ชราลง พระโพธิสัตว์ผู้เป็นพญานกแขกเต้าก็รับหน้าที่ดูแลฝูงแทน และไม่ยอมให้บิดามารดาต้องออกไปหาอาหารเอง ทุกวันท่านจะบินไปหาข้าวสาลีที่เกิดขึ้นเองในป่าหิมพานต์ เมื่อกินอิ่มแล้วจะคาบอาหารกลับมาฝากบิดามารดาเสมอ
    ๒. เหตุแห่งการเผชิญหน้า
    • การค้นพบนาข้าวสาลี: วันหนึ่ง ฝูงนกแขกเต้าสนทนากันถึงนาข้าวสาลีในแคว้นมคธ พญานกแขกเต้าจึงส่งนกสองตัวไปสืบดู เมื่อพบว่ามีนาข้าวสาลีจริง วันรุ่งขึ้นพญานกแขกเต้าจึงนำฝูงนกไปกินข้าวสาลีในนาของลูกจ้างที่พราหมณ์โกสิยโคตรจ้างให้ดูแล
    • การจับพญานก: คนเฝ้านาเห็นฝูงนกมากินข้าวสาลีทุกวันก็ไม่สามารถห้ามได้ จึงกลัวว่าจะต้องชดใช้ค่าเสียหาย เลยนำเรื่องไปบอกพราหมณ์ผู้เป็นเจ้าของนา เมื่อพราหมณ์ได้ฟังว่ามีนกแขกเต้าตัวหนึ่งที่งดงามกว่าตัวอื่น ๆ ซึ่งนอกจากจะกินอิ่มแล้วยังคาบข้าวกลับไปด้วย ก็เกิดความรักในพญานกตัวนั้นและสั่งให้คนเฝ้านาดักจับมาให้ทั้งเป็น คนเฝ้านาจึงใช้ขนหางม้าวางบ่วงดักไว้
    • การติดบ่วง: พญานกแขกเต้าบินลงไปกินข้าวในที่เดิมจึงติดบ่วง แต่ท่านอดกลั้นไม่ส่งเสียงร้องทันทีเพราะกลัวว่าฝูงนกจะตกใจกลัวจนไม่ได้กินอาหาร เมื่อเห็นว่าฝูงนกกินอิ่มและบินหนีไปหมดแล้ว ท่านจึงรำพันว่าไม่มีญาติแม้แต่ตัวเดียวที่เหลียวแล
    ๓. การแสดงธรรมของพญานก
    • การสนทนากับพราหมณ์: คนเฝ้านาจับพญานกไปให้พราหมณ์ พราหมณ์ได้ถามพญานกว่าเหตุใดจึงต้องคาบข้าวสาลีกลับไปด้วย มียุ้งฉางอยู่ที่ไหน หรือมีความแค้นเคืองอะไรกัน
    • ปริศนาธรรม: พญานกแขกเต้าได้ตอบเป็นภาษา มนุษย์ว่า ที่ต้องคาบข้าวสาลีกลับไปนั้นก็เพื่อ "เปลื้องหนี้เก่า ให้เขากู้หนี้ใหม่ และฝังขุมทรัพย์ไว้"
    • การไขปริศนา: เมื่อพราหมณ์สงสัย พญานกจึงอธิบายว่า: ◦ การเปลื้องหนี้เก่า: คือการนำอาหารไปเลี้ยงดูบิดามารดาผู้แก่ชรา เพื่อทดแทนบุญคุณที่ท่านเคยเลี้ยงดูเรามา
    ◦ การให้กู้หนี้ใหม่: คือการเลี้ยงดูลูกน้อยที่ยังไม่มีขนปีก เพื่อหวังว่าในอนาคตเมื่อเราแก่ชราลง ลูกก็จะกลับมาเลี้ยงดูเราบ้าง
    ◦ การฝังขุมทรัพย์: คือการให้ทานแก่นกตัวอื่น ๆ ที่แก่ชราและทุพพลภาพ การทำบุญนี้เปรียบเสมือนขุมทรัพย์ที่จะติดตัวไปในภพหน้า
    ๔. ผลแห่งการแสดงธรรม
    • ความเลื่อมใสของพราหมณ์: เมื่อพราหมณ์ได้ฟังธรรมกถา ก็เกิดความเลื่อมใสอย่างยิ่ง กล่าวชื่นชมว่าพญานกเป็นผู้มีธรรมะชั้นเยี่ยม จึงปล่อยพญานกเป็นอิสระ ทาเท้าให้ด้วยน้ำมันอย่างดี และถวายข้าวตอกคลุกน้ำผึ้งให้กิน
    • การตอบแทน: พราหมณ์ได้ยกนาข้าวสาลีประมาณ 1,000 กรีสให้ แต่พญานกรับไว้เพียง 8 กรีส หลังจากนั้น พราหมณ์โกสิยะก็ได้ตั้งมหาทานเลี้ยงดูสมณพราหมณ์ตามคำสอนของพญานกแขกเต้า
    • การประชุมชาดก: เมื่อพระศาสดาตรัสเล่าเรื่องจบลง ภิกษุผู้เลี้ยงมารดาก็บรรลุโสดาปัตติผล พระองค์ทรงประชุมชาดกว่าบุคคลในเรื่องราวครั้งนั้นได้กลับชาติมาเกิดเป็นบุคคลต่างๆ ในสมัยพุทธกาล ดังนี้:
    ◦ พญานกแขกเต้า คือ พระตถาคต (พระพุทธเจ้า)
    ◦ พราหมณ์โกสิยะ คือ พระอานนท์
    ◦ คนเฝ้านา คือ พระฉันนะ
    ◦ บิดามารดาของพญานก คือ มหาราชสกุล (พระราชบิดาและพระราชมารดาของพระพุทธเจ้า)
    ◦ ฝูงนกแขกเต้า คือ พุทธบริษัท
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,102
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,055
    โสณะโกฬิวิสะ บุตรเศรษฐี ผู้สมบูรณ์พร้อมในทุกสิ่ง (จบในตอนเดียว)

    ลูกหลาน ตาทรวง ยายสุนีย์ วันชัยชนะ
    Dec 27, 2021

    เดิมชื่อว่า “โสณะ” แปลว่า ทองคำ เพราะมีผิวพรรณสวยงามมาตั้งแต่เกิด ส่วนโกฬิวิส เป็นชื่อโคตร บิดาชื่อว่า “อุสภเศรษฐี” เกิดในวรรณะไวศยะ (แพศย์) ตระกูลเศรษฐี ในเมืองจัมปา แคว้นอังคะ ท่านเป็นคนสุขุมาลชาติ คือฝ่ามือฝ่าเท้าอ่อนนุ่มและมีสีแดงดังดอกชบา โดยเฉพาะที่ฝ่าเท้านั้นมีขนอ่อนสีเขียวเหมือนแก้วมณีงอกขึ้น ซึ่งมองดูแปลกกว่าคนทั่วไป นอกจากนั้น ท่านยังเป็นคนรักการเล่นดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ และดนตรีที่ถนัดที่สุดคือการดีดพิณความทราบถึงพระเจ้าพิมพิสารพระองค์จึงรับสั่งให้โสณะโกฬิวิสะเข้าเฝ้าเพื่อทอดพระเนตรฝ่าเท้าที่แปลกประหลาดของเขา
    ท่านเกิดมาเป็นเศรษฐี เดิมชื่อ โสณะ บวกกับชื่อโคตรว่า โกฬิวิสะ จึงชื่อว่าโสณโกฬิวิส ที่ฝ่ามือฝ่าเท้าของท่านมีขนอ่อนนุ่มเกิดขึ้น เพราะฝ่ามือฝ่าเท้าที่แปลกนี้เองเป็นเหตุให้ท่านได้เข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร ก่อนออกบวช ท่านชื่นชอบและเก่งด้านดนตรี โดยเฉพาะพิณ ท่านฟังธรรมเทศนาพระศาสดา แล้วตัดสินใจออกบวชมีศรัทธาแรงกล้าบำเพ็ญสมณธรรมโดยการเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก ก็ยังไม่บรรลุธรรมพระศาสดาจึงทรงตรัสสอนให้ปรับอินทรีย์ คือศรัทธาวิริยะสติสมาธิ และปัญญาให้เสมอท่านปฏิบัติตามไม่นานก็บรรลุพระอรหันต์ ท่านได้รับการยกย่องว่าปรารภความเพียรเป็นยอด พระโสณโกฬิวิสเถระ เอตทัคคะ : ในทางปรารภความเพียร
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,102
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,055
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,102
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,055
    ประวัติพระยโสชะ

    ธรรม กรรม
    Apr 25, 2021

    ท่านพระยโสชะ เกิดในตระกูลชาวประมงในพระนครสาวัตถี บิดาของท่านเป็นหัวหน้าชาวประมง ๕๐๐ ตระกูล เดิมชื่อว่า "ยโสชะ" วันที่ท่านคลอดจากครรภ์มารดานั้น ภรรยาชาวประมงทั้ง ๕๐๐ คน ก็คลอดลูกออกมาพร้อมกันเป็นชายทั้งหมด ใช่แต่เท่านั้น วันที่ปฏิสนธิ ลงสู่ครรภ์มารดา ก็ปฏิสนธิพร้อมกันด้วย เหตุนั้นเมื่อบิดาของยโสชะทราบข่าวนั้น จึงใช้เครื่องบำรุงเลี้ยงมีค่าน้ำนมเป็นต้นแก่เด็กเหล่านั้น ด้วยคิดว่าต่อไปจะได้เป็นเพื่อนกับลูกชายของตน เด็กเหล่านั้นทั้งหมดจึงเป็นเพื่อนเล่นฝุ่นมาด้วยกัน เจริญเติบโตขึ้นโดยลำดับ ยโสชะได้เป็นผู้เหนือกว่าเด็กเหล่านั้นโดยยศและโดยเดช เมื่อเจริญวัยแล้วได้เป็นสหายจับปลาด้วยกัน และมีความรักใคร่ซึ่งกันและกัน
    วันหนึ่งคนเหล่านั้นพากันถือแหไปจับปลา พากันทอดแหในแม่น้ำอจิรวดี ได้ปลาใหญ่ตัวหนึ่งเป็นปลาทองแต่มีกลิ่นปากเหม็น เมื่อชาวประมงทั้งหมดได้เห็นเช่นนั้นก็พากันส่งเสียงร้องด้วยความดีใจ หารือกันว่าบุตรของพวกเราจับได้ปลาทองตัวใหญ่ พระเจ้าแผ่นดินคงจะโปรดปรานพระราชทานรางวัลให้ ชาวประมงเหล่านั้นทั้งหมดจึงจับปลาใส่ในเรือ นำไปถวายพระเจ้าแผ่นดินเพื่อให้ทอดพระเนตร พระเจ้าแผ่นดินทอดพระเนตรแล้วทรงดำริว่า พระพุทธเจ้าคงจะทรงทราบเหตุที่ปลานี้เป็นทอง จึงรับสั่งให้คนหามปลานั้นเสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค พอถึงที่เฝ้าแล้วปลานั้นก็อ้าปาก ส่งกลิ่นเหม็นตลบทั่วพระนคร
    พระบรมศาสดาจึงทรงรับสั่งว่า ปลานี้เมื่อก่อนเคยเป็นภิกษุชื่อว่า กบิล เป็นพหูสูตมีบริวารมาก แต่ประพฤติย่อหย่อนในพระธรรมวินัย ในศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นรับสั่งดังนั้นแล้วจึงตรัสกปิลสูตร
    ในเวลาจบเทศนา ลูกชาวประมง ๕๐๐ คน ซึ่งมียโสชะเป็นหัวหน้าเกิดความเลื่อมใส จึงทูลขอบรรพชาอุปสมบทกับพระบรมศาสดา ครั้นอุปสมบทแล้วก็หลีกไปอยู่ที่เงียบสงัดเพื่อบำเพ็ญสมณธรรม ครั้งหนึ่ง พระบรมศาสดาเสด็จประทับอยู่ที่พระเขตวันมหาวิหาร ในพระนครสาวัตถี ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูป มีท่านพระยโสชะเป็นหัวหน้าพากันมาเฝ้าพระองค์ ครั้นถึงแล้วได้คุยกันกับพวกภิกษุเจ้าถิ่นด้วยเสียงอันดังจนได้ยินถึงกระกรรณ พระองค์ทรงรับสั่งถามพระอานนท์ว่า ภิกษุพวกไหนนั่นมาคุยกันเสียงดังลั่นเหมือนชาวประมงแย่งปลากัน พระอานนท์กราบทูลให้ทรงทราบแล้วรับสั่งให้เรียกภิกษุเหล่านั้นเข้ามาเฝ้าตรัสถามอีก ท่านพระยโสชะกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ทรงขับไล่ไม่ให้อยู่ในสำนักของพระองค์ พวกภิกษุเหล่านั้นพากันถวายบังคมกระทำประทักษิณแล้วหลีกไป เที่ยวจาริกไปโดยลำดับบรรลุถึงฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา เขตแดนเมืองเวสาลี พากันทำกุฎีบังด้วยใบไม้เข้าพรรษา ณ ที่นั้น เป็นผู้ไม่ประมาท ตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรม เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ไม่นานก็ได้สำเร็จพระอรหัตตผลพร้อมกันทั้งหมดภายในพรรษานั้น ครั้นออกพรรษาปวารณาแล้ว พระบรมศาสดาเสด็จจาริกมายังกรุงเวสาลี ประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลาป่ามหาวัน ทรงทราบว่าภิกษุเหล่านั้นได้สำเร็จพระอรหันต์แล้ว จึงรับสั่งให้พระอานนท์ไปเรียกมาเฝ้า ครั้นมาถึงที่เฝ้าแล้วภิกษุเหล่านั้นได้เห็นพระองค์นั่งเข้าอเนญชาสมาธิ เมื่อทราบเช่นนั้นจึงพากันนั่งเข้า อเนญชาสมาธิตาม ส่วนพระอานนท์เห็นพระบรมศาสดาประทับนิ่งอยู่ จึงทูลเตือนถึงสามครั้งว่า ภิกษุอาคันตุกะมานั่งอยู่นานแล้ว จึงตรัสบอกว่า อานนท์ ฉันและภิกษุอาคันตุกะ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ นั่งเข้าอเนญชาสมาธิอยู่
    ท่านพระยโสชะนั้น นับเข้าในพระสาวกผู้ใหญ่รูปหนึ่ง เมื่อดำรงอายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ด็ดับขันธปรินิพพาน

     

แชร์หน้านี้

Loading...