อมตเถระ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี<O></O> ชาตะ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๕ ปีวอก ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๓๓๑ (จุลศักราช ๑๑๕๐) เวลาเช้า ๖.๓๕ นาฬิกา<O></O> มรณะ แรม ๒ ค่ำ เดือน ๘ ปีวอก ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๑๕ (จุลศักราช ๑๒๓๔) เวลาเที่ยงคืน ๒๔.๐๐ นาฬิกา<O></O> รวมชนมายุ ๘๔ ปี ๒ เดือน ๕ วัน<O></O> <O คติธรรม<O></O> ปราชญ์แท้ ไม่คุยฟุ้งอวดตน<O></O> คนดี ไม่เที่ยวยกสอพลอ<O></O> คนเก่ง ย่อมทะนงอย่างเงียบ<O></O> คนชั่ว อวดรู้ดีทั่วภพ<O></O> คนโง่ อวดฉลาดมากมาย<O></O> สิ่งทั้งหลายท่านเห็นมีทุกที่เอย<O></O> สมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี<O></O> <O></O> ในบรรดาเกจิอาจารย์ที่โด่งดังเป็นอมตะในประเทศไทย คงไม่มีใครเกินท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม<O></O> ท่านเป็นยอดอัจฉริยบุคคลที่ควรเคารพบูชา เป็นพหูสูตรอบรู้ทั้งทางโลกทางธรรม มีความเจนจบทั้งพุทธศาสตร์และไสยศาสตร์<O></O> ประวัติของท่านพิสดารชนิดที่เรียกว่า ไม่มีใครเหมือน และใครจะทำเหมือนท่านไม่ได้<O></O> ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นนักเทศน์ที่หาตัวจับยากในยุคต้นรัตนโกสินทร์ ท่านได้แสดงความเป็นอัจฉริยะตั้งแต่เยาว์ ทั้งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแผ่นดิน และประชาชนคนเดินดินทั่วไป คุณวิเศษสำคัญประการหนึ่งของท่าน คือ สามารถเทศน์ให้ใครหัวเราะก็ได้ เทศน์ให้ใครร้องไห้ก็ได้ เทศน์ให้คนเทกระเป๋าทำบุญก็ได้<O></O> นอกจากนี้ ท่านยังเป็นนักโหราศาสตร์ ทำนายดวงชะตาได้แม่นยำนัก และยังเป็นนักใบ้หวยที่โด่งดังผู้หนึ่ง<O></O> สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี มีชนมชีพอยู่ถึง ๕ แผ่นดิน ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ท่านเป็นโอรสนอกเศวตฉัตรในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหน้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ แห่งพระราชวงศ์จักรี กับ งุด สาวงามแห่งเมืองกำแพงเพชร บุตรีของนายผลและนาง
สมภพ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ สมภพเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๓๓๑ เวลา ๖.๓๕ น. ที่จังหวัดพิจิตร<O></O> ย้อนประวัติศาสตร์ไปในปี พ.ศ. ๒๓๓๐ ประเทศสยามในขณะนั้นติดพันทั้งศึกเหนือและใต้ ทางเหนือพม่ายกกำลังเข้าตีเมืองนครลำปางและป่าซาง ทางใต้เกิดศึกเมืองทวายขึ้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงมีพระราชโองการให้กองทัพไทยเคลื่อนกำลังเข้ายันศึกทั้งสองด้าน ทางหนึ่งเคลื่อนทัพยกไปตีเมืองทวาย เมื่อเดือนยี่ขึ้นห้าค่ำ ปีมะแม อีกทางหนึ่งได้โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าฉิม กรมหลวงอิสรสุนทร เป็นแม่ทัพยกไปปราบ<O></O> ในราวเดือนเก้า ปีมะแม พ.ศ. ๒๓๓๐ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิสรสุนทร แม่ทัพใหญ่ เดินทัพถึงวัดเกศไชโย (ปัจจุบันชื่อ วัด ไชโยวรวิหาร) ก็ได้ตั้งค่ายหลวง ณ ที่นั้น เนื่องจากทรงเห็นว่าเมืองอ่างทองเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ พืชพันธุ์ธัญญาหารสมบูรณ์ จึงมีพระบัณฑูรให้เหล่าทหารไปจัดหามา เพื่อส่งกำลังบำรุงกองทัพ ขณะนั้นมีแม่สาวน้อยนางหนึ่งชื่อ งุด พายเรือขายกระท้อนอยู่ริมน้ำเจ้าพระยา มหาดเล็กของเจ้าฟ้าผู้สูงศักดิ์เห็นเป็นสาวสวยผิวพรรณเปล่งปลั่ง ใบหน้าหมดจดงดงามยิ่งกว่าสาวใดในละแวกนั้น ก็เกิดความคิดจะเอาความชอบ จึงใช้อุบายชักพานางสาวงุด เข้าไปยังค่ายแม่ทัพ<O></O> ด้วยบุพเพสันนิวาส เจ้าคุณแม่ทัพใหญ่ทรงรู้สึกพึงตาพึงใจในสาวงามชาวกำแพงเพชร จึงชวนแม่สาวงุดร่วมเรียงเคียงเขนยอยู่ในค่ายทหารหนึ่งราตรี ก่อนจะพรากจากกัน ท่านแม่ทัพได้ประทานรัดประคดผืนหนึ่ง เพื่อมองให้กับบุตรที่อาจจะเกิดมา มีรับสั่งว่า ถ้าคลอดบุตรเป็นชายให้ตั้งชื่อว่า
ไปวัดนิพพาราม ฝ่ายขุนนางทั้งสาม ก็พาสามเณรลงเรือแจวข้ามฟากมาขึ้นท่าวัดนิพพานารามตามรับสั่ง พาเณรเดินขึ้นบนตำหนักสมเด็จพระสังฆราช (มี) ครั้นพบแล้วต่างถวายนมัสการ พระโหราธิบดีก็ถวายลายพระหัตถ์แด่สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระสังฆราชคลี่ลายพระหัตถ์ออกอ่านดู รู้ความในพระกระแสรับสั่งนั้นแล้ว จึงสั่งให้พระครูใบฎีกาไปหาตัวพระอาจารย์แก้ว วัดบางลำพูบน ซึ่งเป็นเจ้าของสามเณรเดิมนั้นขึ้นมาเฝ้า ครั้นพระอาจารย์แก้วมาถึงแล้ว จึงทรงให้อ่านลายพระหัตถ์ พระอาจารย์แก้วอ่านแล้วทราบว่า สมเด็จพระยุพราชนิยม ก็มีความชื่นชมอนุญาตถวายเณรให้เป็นเณรอยู่วัดนิพพานารามต่อไป ได้รับนิสัยแต่สมเด็จพระสังฆราชด้วย<O></O> แต่วันนั้นมา สามเณรโตก็อุตส่าห์ทำวัตรปฏิบัติแก่สมเด็จพระสังฆราช และเข้าเรียนคัมภีร์พระปริยัติธรรมจนทราบชำนิชำนาญดี และเรียนกับพระอาจารย์เสม วัดนิพพานารามอีกอาจารย์หนึ่งด้วย<O></O> <O></O> รับพระราชทานเรือกัญญา<O></O> ต่อมาสามเณรโต ได้รับนิมนต์ให้ไปเทศน์ที่วัดพระแก้ว วันนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงสดับฟังคำเทศนาอยู่ด้วย ทรงโปรดฝีปากการเทศน์ของสามเณรโต ประกอบกับทรงทราบจากสมเด็จพระยุพราชว่า สามเณรโตเป็นพระหลานเธอ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปีติรับสามเณรโตอุปถัมภ์ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ และพระราชทานเรือกราบกัญญา หลังคากระแซง ให้สามเณรโตไว้ใช้ในการบิณฑบาตไปมาในลำน้ำ<O></O> เรือกราบกัญญาลำนี้ยาวประมาณ ๕ วาเศษ พื้นทาสีน้ำเงิน ขอบเป็นลายกระหนก มีกระทงสำหรับนั่งและมีช่องสำหรับสวมเสาติดตั้งขื่อโยงสี่มุม เพื่อประกอบหลังคากระแซงตามประเพณีของราชสำนักครั้งกระนั้น จะพระราชทานแก่เจ้านายตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปเท่านั้น<O></O> หลังจากที่ได้รับเรือกราบกัญญามาสด ๆ ร้อน ๆ เศรษฐีคู่หนึ่งอยู่คลองบางกรวย จังหวัดนนทบุรี อยากได้หน้านิมนต์สามเณรโตไปเทศน์ แล้วก็เที่ยวคุยกับชาวบ้านว่า สามเณรโต เณรในหลวงจะต้องพายเรือกราบกัญญามาแน่ พอถึงวันแสดงธรรม สามเณรโตแจวเรือลำอื่นไปแต่ลำพัง เพราะลูกศิษย์สองคนของท่าน ที่พายเรือกราบกัญญานั้นชอบแย่งของที่ชาวบ้านถวาย และทะเลาะกันเกือบทุกครั้ง สามเณรโตตัดความรำคาญ มาเทศน์เพียงลำพังรูปเดียว เมื่อเจ้าภาพเห็นเรือแจวของท่านแล้วถึงกับหน้างุ้ม ไม่พอใจ ไม่สมกับศักดิ์ศรีของเศรษฐีและเณรในหลวง จึงเอาเครื่องไทยธรรมที่เตรียมจะถวายส่วนใหญ่ซุกไว้ใต้เตียง<O></O> สามเณรโตเทศน์เท่าไร เจ้าภาพก็ไม่ติดกัณฑ์เทศน์ถวาย สามเณรก็เทศน์ไปว่า
มหาโต ครั้นพระภิกษุโตมีอายุ ๓๐ ปี สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอิสรสุนทรได้รับพระราชทานพระบวรราชอิสรศักดิ์สูงขึ้น เมื่อเสร็จอุปราชาภิเษกแล้ว พระภิกษุโตได้เข้าเฝ้าถวายพระพรชัยมงคล จึงทรงโปรดพระราชทานเรือพระที่นั่งกราบ เป็นเรือสีถวายให้โดยมีรับสั่งว่า
เทศน์ถวายสั้นที่สุด ในตอนต้นแผ่นดินรัชกาลที่ ๔ มีพระราชพิธีสำคัญในพระราชวังหลวงติดต่อกัน ๓ วัน พระเทพกวี (โต) ได้รับนิมนต์เข้าไปถวายพระธรรมเทศนาทั้ง ๓ วัน<O></O> วันแรก ท่านก็ถวายพระธรรมเทศนาเรียบร้อยพอสมควรแก่เวลา ท่านเจ้าคุณก็ถวายพระพรลาไป<O></O> ขึ้นวันที่ ๒ พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชประสงค์จะฟังธรรมเทศนาสั้น ๆ ด้วยมีพระราชหฤทัยจดจ่อกระวนกระวายต่อจ้าจอมชั้นเอกอุท่านหนึ่งใกล้จะมีประสูติกาล โดยมีพระราชประสงค์จะเข้าไปดูว่าเป็นพระราชโอรสหรือพระราชธิดา ท่านเจ้าคุณพระเทพกวีรู้ด้วยญาณวิถี จึงถวายวิสัชนายืดยาวเป็นพิเศษ โดยไม่สนใจว่าพระเจ้าอยู่หัวจะทรงกระวนกระวายเพียงใด<O></O> รุ่งขึ้นวันที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงทราบว่าได้พระราชโอรสแล้วทรงสบายพระทัย ใคร่จะสดับฟังพระธรรมเทศนายาว ๆ แต่คราวนี้ท่านเจ้าคุณพระเทพกวี (โต) ขึ้นต้นด้วยการถวายศีล บอกศักราช ถวายพระพร ตั้งนะโม ๓ จบ แปลอรรถอกสองสามคำ แล้วก็กล่าวว่า
แก้พระวิวาทกัน อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่พระเทพกวี (โต) นั่งเอกเขนกนอกกุฏิ ท่านเห็นพระวัดระฆังฯ ๒ รูปชี้หน้าด่ากัน เสียงดังลั่นวัด ท่านเจ้าคุณพระเทพกวีลุกเข้ากุฏิจัดดอกไม้ ธูปเทียนใส่พาน รีบเดินเข้าไปหาพระทั้งสองแล้วทรุดตัวนั่งคุกเข่า ทำท่าถวายดอกไม้ธูปเทียนให้พระคู่นั้น แล้วอ้อนวอนฝากตัวว่า
เทศน์สิบสองนักษัตร ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี ขณะนี้มีชนมายุ ๗๖ ยิ่งอายุมากความรู้ยิ่งบ่มแน่น สมเป็นปราชญ์รู้แจ้งแทงตลอดทั้งทางโลกทางธรรม พฤติกรรมของพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จ หลายครั้งหลายวาระชี้ให้เห็นว่าท่านเจ้าประคุณมีญาณวิเศษหยั่งรู้ถึงจิตใจของผู้คน<O></O> ดังปรากฏในงานของท่านเจ้าคุณสมเด็จเจ้าพระยาประสาทซึ่งใช้ให้ทนายคนหนึ่งไปนิมนต์ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ (โต) มาเทศน์ที่บ้าน เรื่อง จตุราริยสัจ โดยมิได้เขียนฎีกาบอกชื่อ อริยสัจให้ทนายไป<O></O> ทนายคนนั้นก็ตรงไปหาท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ที่วัดระฆังฯ โดยพนมมือกราบเรียนว่า
ชินปัญชร ในคราวเดินทางไปกำแพงเพชร เพื่อเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ท่านได้ไปที่วัดเก่าแห่งหนึ่งชื่อ วัดเสด็จ มีเจดีย์โบราณบรรจุพระบรมธาตุอยู่บนฝั่งแม่น้ำปิง พบคัมภีร์โบราณผูกหนึ่งเป็นภาษาสิงหลฝังอยู่ในเจดีย์นั้น ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ก็หยิบใส่ย่ามมา และเก็บไว้ที่กุฏิแดงวัดระฆังฯ<O></O> คืนหนึ่งราว ๆ ตีสาม เจ้าประคุณสมเด็จ ได้นิมิตเห็นหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งหน้าตาคมขำ แต่งอาภรณ์ชุดขาวยืนอยู่ที่หัวนอน ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ กำหนดจิตสัมผัสรู้ว่า ผู้ที่ปรากฏในนิมิตนี้ไม่ใช่มนุษย์แน่ จึงถามในสมาธิจิตว่า
จุดไต้เข้าวัง อีกคราวหนึ่งเจ้าประคุณสมเด็จ จุดไต้ลูกใหญ่ลุกโพลงเดินเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง ในตอนกลางวันแสก ๆ ตะวันตรงหัวทีเดียว ร.๔ ทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น ก็ตรัสว่า
พบกับบาทหลวง ในรัชกาลที่ ๔ นั้น เป็นยุคที่ชาวฝรั่งตื่นตัวเข้ามาในกรุงสยามมากที่สุด เป็นพวกพ่อค้าวานิชบ้าง เป็นนักสอนศาสนาบ้าง เป็นพวกที่ศึกษาเกี่ยวกับการล่าเมืองขึ้นบ้าง และอะไรต่อมิอะไรเป็นอันมาก เพราะยุคนี้ไม่มีนโยบายกีดกันชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศเหมือนชาติอื่น ๆ<O></O> บรรดาชาวต่างชาติที่เข้ามาสยามครั้งกระนั้น ปรากฏว่า มีพวกมิชชั่นนารี คือ พวกบาทหลวงสอนศาสนา และเผยแพร่ศาสนาคริสต์เป็นมากกว่าพวกอื่น ที่มักจะเข้าเฝ้ารบกวนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งในด้านขอให้พระราชทานศาสนูปถัมภ์ และไต่ถามถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับลัทธิขนบธรรมเนียม และข้อสำคัญก็คือ เรื่องอันเกี่ยวกับพระบวรพุทธศาสนา และโดยเหตุที่มิชชันนารีพวกนี้สนใจในหลักธรรมของพระบวรพุทธศาสนามาก จึงครั้งหนึ่งได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท กราบทูลไต่ถามพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า<O></O>
ใจกลางโลก คำพูดของฝรั่งเท่ากับตบหน้าท่านเจ้าประคุณสมเด็จและคนไทยทั่วไปอย่างฉาดใหญ่ทีเดียว แต่สมเด็จพระพุฒาจารย์กลับหัวเราะงอหายพลางว่า
รู้รสเหล้า ท่านเจ้าประคุณสมเด็จมีคติประจำใจว่า เรื่องการสอนคนนั้นต้องเอาความจริงมาพูด สิ่งใดที่ทำไม่ได้สิ่งนั้นจะไม่พูด และสิ่งใดที่ยังไม่มีประสบการณ์ สิ่งนั้นก็จะไม่พูดเช่นกัน ภาวะไม่เหือนกับอาจารย์สอนธรรมคนอื่น ๆ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จถึงกับลงทุนสร้างพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนองค์หนึ่ง หน้าตักกว้างสองศอก หันพระพักตร์เข้าข้างฝาผนัง ด้านตะวันออกองค์พระห่างจากฝาผนังราวหนึ่งศอก ซึ่งอยู่ในวิหารละแวกบ้านสาว ตรอกวัดใหม่อมตรส บางขุนพรหม (ต่อมาทางราชการตัดถนนสามเสนทับวิหารนี้แล้ว) ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ สร้างเพราะมีเหตุผลทิ้งเป็นปริศนาธรรมให้แก่อรรถกถาจารย์ทั้งหลาย ที่ดีเพียงสอนคนอื่น แต่ตัวเองไม่เคยมอง พระสงฆ์ส่วนใหญ่ล้วนไม่บำเพ็ญในทางธรรมแต่กลับชอบพูดธรรมและอวดธรรม<O></O> เล่ากันว่า ครั้งหนึ่ง จมื่นพิทักษ์ฯ มานิมนต์ท่านเจ้าประคุณสมเด็จเข้าไปเทศน์ในวังหลวง แสดงธรรมกถาเรื่อง ความไม่ดีของสุรา เมื่อท่านเจ้าประคุณสมเด็จรับนิมนต์ให้เทศน์เรื่องสุรายาเมาไม่ดี ท่านก็คิดว่า
สมเด็จเข็นเรือ เจ้าประคุณสมเด็จเป็นพระที่พูดจาสุภาพ จ๊ะจ๋ากับคนทุกคน ไม่ว่าไพร่ผู้ดี จึงมีผู้เคารพนับถือท่านไปทั้งบ้านทั้งเมือง และมักไม่ใคร่ขัดศรัทธาใครง่าย ๆ ใครนิมนต์งานอยะไร ท่านก็ไปให้เขาทั้งหมด <O></O> คราวหนึ่ง ชาวสวนราษฎร์บูรณะนิมนต์ไปเจริญพุทธมนต์ที่บ้านของเขา ซึ่งต้องนั่งเรือเข้าไปในคลองเล็ก ๆ สายหนึ่ง เวลาน้ำน้ำแห้งติดก้นคลอง ท่านเจ้าประคุณสมเด็จกับศิษย์ ๒ คน ต้องช่วยกันเข็นเรืออยู่กลางคลอง ชาวบ้านเห็นเข้าก็ตกใจ ร้องเอ็ดอึงว่า
สร้างพระสร้างวัด ในปลายรัชสมัยรัชกาลที่ ๔ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี ได้เข้าเฝ้าฯ เพื่อขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตใช้ที่ดินในเขตอำเภอไชโย แขวงอ่างทอง เพื่อสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่หน้าตักกว้าง ๘ ว่า ๗ นิ้ว สูง ๑๑ วา ๑ ศอก ๗ นิ้ว ก่ออิฐถือปูนประทับนั่ง ปางมารวิชัย ถวายพระนามว่า พระมหาพุทธนันท์ และสร้างวัดไว้ ณ ที่นั้น เพื่อเป็นการรำลึกถึงถิ่นกำเนิดของท่านเจ้าประคุณสมเด็จ (โยมบิดาและโยมมารดาพบกัน) โดยตั้งชื่อวัดนี้ว่า วัดเกตุไชโย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตประทับตราแผ่นดินและตราพระราชบัญญัติวิสุงคามสีมา ถวายสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) เพื่อสร้างวัดเกตุไชโย อุทิศกุศลแก่โยมบิดา และสนองพระคุณโยมมารดาที่ทุกข์ทรมานอุ้มครรภ์และคลอด ตลอดจนกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูสั่งสอน สอนเดิน ณ ตำบลแห่งนี้<O></O> ช่วงปลายชีวิตของท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ท่านเดินทางไปหลายแห่งทั่วประเทศ และสร้างอนุสรณ์ไว้ เช่น<O></O> ๑. พระพุทธรูปนอนใหญ่ที่วัดสะตือ ต. ท่าหลวง อ. ท่าเรือ จ. พระนครศรีอยุธยา เป็นพระพุทธไสยาสน์ก่ออิฐถือปูน องค์พระยาว ๑ เส้น ๖ วา สูง ๘ วา ฐานยาว ๑ เส้น ๑๐ วา กว้าง ๔ วา ๒ ศอก สร้างเมื่อพุทธศักราช ๒๔๑๓<O></O> ๒. พระพุทธรูปนั่งที่วัดพิตเพียน (วัดกุฎีทอง) จังหวัดพระนคร เป็นพระก่ออิฐถือปูน ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๔ วา ๓ ศอก<O></O> ๓. พระพุทธรูปที่วัดกลาง ต. คลอดข่อย อ.โพธาราม จ.ราชบุรี เป็นพระพุทธรูปยืนปางอุ้มบาตร ทำด้วยอิฐถือปูน สูง ๖ วาเศษ เล่ากันว่า สถานที่แห่งนี้เดิมเป็นป่ารกชัฏ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จได้เอาเงินตราเก่า ๆ มีค่าโปรยเข้าไปในป่า ชาวบ้านย่านนั้นร่วมกันถางป่าจนราบเรียบเตียนโล่ง เพื่อหาเงินดังกล่าว จึงสามารถสร้างพระพุทธรูปยืนองค์นี้ได้ ต่อมาได้กลายเป็นสำนักสงฆ์ และเป็นวัดในที่สุด<O></O> ๔. เจดีย์วัดละครทำ ที่แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย ฝั่งธนบุรี เป็นเจดีย์นอน ๒ องค์ หันฐานเข้าหากัน ห่างกันประมาณ ๒ ศอก ปัจจุบันชำรุดทรุดโทรมมาก องค์ด้านใต้ถูกรื้อทำลายไปนานแล้ว องค์ด้านเหนือก็แทบจะไม่เป็นรูปร่างเสียแล้ว เนื่องจากถูกคนขุดค้นหากรุพระสมเด็จ<O></O> ๕. รูปปั้นแทนโยมตาและโยมแม่ สร้างกุฏิ ๒ หลัง อยู่ด้านทิศใต้ของวัดอินทรวิหาร ก่ออิฐถือปูน หลังคามุงกระเบื้อง ขนาดเท่ากัน กว้าง ๑ วา ยาววาครึ่ง ปั้นรูปแทนโยมตาเป็นรูปพระสงฆ์นั่งขัดสมาธิ หน้าตักกว้าง ๒๔ นิ้ว อยู่กุฏิหลังซ้าย ส่วนแทนโยมมารดาปั้นเป็นรูปภิกษุนั่งขัดสมาธิ หน้าตักกว้าง ๒๓ นิ้ว ประดิษฐานอยู่กุฏิหลังขวา<O></O> ๖. หลวงพ่อโต วัดอินทรวิหาร ที่ตำบลบางขุนพรหม กรุงเทพมหานคร เป็นพระพุทธรูปยืนอุ้มบาตร สูง ๑๖ วาเศษ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จสร้างได้ประมาณ ๙ วาเศษ ท่านก็ถึงแก่มรณภาพเสียก่อน ต่อมาหลวงปู่แดงได้ก่อสร้างเพิ่มเติมจนเสร็จสมบูรณ์<O></O> <O></O> สร้างพระสมเด็จ<O></O> โดยที่เจ้าประคุณสมเด็จ ท่านเชี่ยวชาญในด้านวิปัสสนาธุระยิ่งนัก กอปรด้วยพระเมตตาบารมีสูงยิ่ง เมื่อท่านเจริญชนมายุแก่กล้าเป็นพระมหาเถระแห่งยุคสมัยแล้ว ก็ได้ปรารภเหตุว่า มหาเถระแต่ปางก่อนนั้น มักจะนิยมสร้างพระพิมพ์จำนวนมาก บรรจุลงไว้ในปูชนียสถานต่าง ๆ เพื่อเป็นการสืบอายุพระพุทธศาสนา และเพื่อให้พุทธศาสนิกชนคนรุ่นหลังได้กราบไหว้บูชาเป็นการเจริญพุทธานุสติ ปรารภเหตุดังกล่าวนี้ เจ้าประคุณสมเด็จ จึงได้ลงมือสร้างพระพิมพ์รุ่นแรกขึ้นมีจำนวน ๘๔,๐๐๐ องค์ เท่ากับจำนวนพระธรรมขันธ์ เป็นพระสมเด็จรุ่นแรกที่เรียกกันว่า
พระสมเด็จแท้มี ๗๓ ชนิด พระอาจารย์ขวัญ วิสิฐโฐ วัดระฆังฯ อ้างว่า ได้ยินมาจากคำบอกเล่าของเจ้าคุณพระธรรมถาวร (ช่วง) ศิษย์ก้นกุฏิรุ่นแรกของเจ้าประคุณสมเด็จว่า พระสมเด็จซึ่งสร้างจากมือท่านแท้ ๆ นั้น มีรวมอยู่ด้วยกัน ๗๓ ชนิด แต่เท่าที่สืบทราบได้ในปัจจุบันนี้ มีเพียง ๒๙ ชนิดเท่านั้น<O></O> เล่ากันมาอีกว่า พระสมเด็จรุ่นแรกสุด ชนิดทรง ๓ ชั้น มี ๓ อย่างคือ สีดำ มีคุณวิเศษทางคงกระพันชาตรีม สีขาว มีกลิ่นหอม แก้โรคภัยต่าง ๆ และสีขาวไม่มีกลิ่น ใช้ทางเมตตามหานิยม ทั้ง ๓ อย่างนี้มีขนาดเดียวกัน คือ กว้าง ๔.๑ ซม. สูง ๖.๑ ซม. โดยนายเทศช่างแกะสลักพระ บ้านอยู่หลังตลาดบ้านขมิ้น เป็นผู้ทำแม่พิมพ์ให้ และเมื่อเจ้าประคุณสมเด็จสร้างพระพิมพ์รุ่นแรกนี้สำเร็จลงแล้ว ท่านให้พระองค์แรกแก่