เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 12 พฤษภาคม 2025 at 17:56.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,775
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,743
    ค่าพลัง:
    +26,609
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,775
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,743
    ค่าพลัง:
    +26,609
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ตั้งแต่ตี ๓ ครึ่ง กระผม/อาตมภาพก็ลงไปนำพระภิกษุสามเณร ตลอดจนกระทั่งญาติโยมผู้บวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ รุ่นที่ ๓/๒๕๖๘ ภาวนาพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบ ซึ่งแม้ว่าจะลงมาช้า ก็คือโดยปกติถ้านัดตี ๓ ครึ่ง ประมาณตี ๓ กระผม/อาตมภาพก็จะลงไปนั่งรอแล้ว แต่ด้วยความที่ว่าเจ็บไข้ได้ป่วย ออกไปก็ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกับโยมได้ เนื่องเพราะว่าเสียงไม่อำนวย ก็เลยลงไปช้าถึง ๑๕ นาที

    แต่กระนั้นก็ตาม พระภิกษุสามเณรส่วนหนึ่ง ตลอดจนกระทั่งญาติโยมก็ยังมาไม่ถึง พูดง่าย ๆ ว่ากำลังใจไม่ได้ปักมั่นอยู่กับงานที่ทำ บุคคลที่กำลังใจมุ่งมั่นอยู่กับภารกิจตรงหน้า จะไม่ใช่เป็นคนที่ตรงเวลาอย่างเดียว แต่ส่วนมากมักจะก่อนเวลาด้วย เราสามารถเอาตรงนี้เป็นเครื่องวัดตัวเองได้ว่า การปฏิบัติธรรมของเรานั้นมีความก้าวหน้าสักเท่าไร

    เมื่อนำทุกท่านภาวนาพระคาถาเงินล้านและอุทิศส่วนกุศลแล้ว
    กระผม/อาตมภาพก็นั่งเป็นเนื้อนาบุญ ให้ญาติโยมทั้งหลายได้ทำบุญหลังจากการภาวนาพระคาถาเงินล้าน จากนั้นก็มอบหมายให้พระท่านนำพระภิกษุสามเณรในสายบิณฑบาตออกรับบาตรแทน ส่วนในเรื่องของการปฏิบัติธรรม วัดท่าขนุนของเรามีพระวิปัสสนาจารย์อยู่หลายรูป สามารถที่จะทำหน้าที่แทนกระผม/อาตมภาพได้

    ส่วนตนเองนั้นก็ได้เดินทางเพื่อที่จะไปหาหมอ ก็อย่างที่บอกกับญาติโยมทั้งหลายว่า "ไม่ไปหาหมอก็ไม่มีโรค" ไปหาหมอเมื่อไรก็มีโรคเมื่อนั้น..! จึงได้ยามาถุงใหญ่ จนแทบจะจำไม่ได้แล้วว่า แต่ละอย่างต้องฉันต้องกินในเวลาใดบ้าง แต่เพื่อความสบายใจของญาติโยม ก็ไปหาหมอให้คนทั้งหลายเขาได้เห็นกัน

    บรรดายาต่าง ๆ ที่ญาติโยมเห็นว่าเป็นของวิเศษ ตลอดจนกระทั่งของที่หมอให้มา กระผม/อาตมภาพฉันจนครบโดสทุกครั้ง เนื่องเพราะเบื่อที่จะมาฟังว่า ที่ไม่หายก็เพราะว่าไม่ยอมฉันยาของเขา แล้วที่ทำมาตลอด ๔๐ กว่าปี ทุกท่านก็เห็นแล้ว ว่าต่อให้ยาของท่านวิเศษขนาดไหนก็ตาม ก็ช่วยกระผม/อาตมภาพได้แค่ที่เห็นนี่เอง..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,775
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,743
    ค่าพลัง:
    +26,609
    เนื่องเพราะว่าโรคภัยไข้เจ็บของกระผม/อาตมภาพนั้นไม่ใช่โรคธรรมดา แต่เป็นโรคเวรโรคกรรม โรคที่เกิดจากการรบราฆ่าฟันกันมาทุกชาติ เนื่องเพราะว่าเป็นทหาร ต้องป้องกันรักษาประเทศชาติบ้าง ต้องรบเพื่อขยายอาณาเขตบ้าง แต่ละครั้งก็ทำให้ทั้งคนและสัตว์ตายไปทีละมาก ๆ คนก็คือข้าศึกทั้งหลายที่ต้องปะทะกันตามหน้าที่ ต่อให้ไม่มีความโกรธแค้นกันมา แต่ถึงเวลาอยู่คนละฝักคนละฝ่าย เมื่อยกทัพมาประจันหน้ากันก็ต้องสู้รบกัน เพื่อป้องกันรักษาชีวิต ป้องกันขอบขัณฑสีมาของตนเอง

    ส่วนบรรดาสัตว์ทั้งหลาย ส่วนใหญ่ก็เป็นเสบียงอาหาร มีทั้งที่ต้อนไปแบบเป็น ๆ อย่างเช่นวัวควาย แล้วก็ค่อย ๆ ล้ม ค่อย ๆ เชือด เพื่อทำเป็นอาหารในแต่ละวัน เนื่องเพราะว่าสมัยก่อน การที่จะเก็บเป็นเนื้อแห้งอาหารแห้งนั้น บรรดาเทคโนโลยีและวิธีการไม่ดีเหมือนกับสมัยนี้ จึงต้องใช้วิธีเอาไปแบบเป็น ๆ แล้วก็ค่อยไปเชือด ไปฆ่ากันในตอนที่จะกิน

    การที่เราฆ่าคน หรือว่าฆ่าสัตว์ใหญ่ จัดเป็นกรรมปาณาติบาตที่หนักมาก ถ้าหากว่ามีอุปฆาตกรรมมาตัดรอน กรรมตรงนี้จะทำให้เราเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ หรืออาจถึงแก่เสียชีวิตไปเลย..! ก็ต้องแล้วแต่สถานการณ์และกรรมในช่วงนั้น ๆ ที่มาสนอง

    ดังนั้น..
    ในเรื่องของกรรม จึงไม่ใช่เรื่องล้อเล่น อย่าไปเห็นว่าเป็นกรรมเพียงเล็กน้อยแล้วทำ ขณะเดียวกัน ก็อย่าไปเห็นว่าเป็นบุญเพียงเล็กน้อยแล้วไม่ทำ เนื่องเพราะไม่ว่าจะเป็นเวรเป็นกรรม หรือว่าเป็นบุญก็ตาม เมื่อถึงเวลาย่อมให้ผลทั้งสิ้น

    พระพุทธศาสนาของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เชื่อกรรม คือการกระทำของแต่ละคน ว่าทำอย่างไรเราถึงจะละกรรมชั่ว หันมาทำแต่กรรมดีได้ ภาษาบาลีใช้คำว่า กณฺหํ ธมฺมํ วิปฺปหาย สุกฺกํ ภาเวถ ปณฺฑิโต บัณฑิตย่อมสรรเสริญกรรมอันขาว ละเว้นเสียซึ่งกรรมอันดำ ก็คือสรรเสริญในการทำกรรมดี ละเว้นในการทำกรรมชั่วนั่นเอง
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,775
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,743
    ค่าพลัง:
    +26,609
    นอกจากสอนให้เชื่อกรรมแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังสอนให้เชื่อผลของกรรม ก็คือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซึ่งเด็กในสมัยนี้จำนวนหนึ่งถามว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป โดยที่ไม่เข้าใจว่ากรรมนั้นมีทั้งกรรมหนัก มีทั้งกรรมเบา ที่ส่งผลเร็วช้าต่างกัน มีทั้งกรรมที่หนุนเสริม มีทั้งกรรมที่ตัดรอน มีทั้งกรรมที่คอยเบียดเบียน

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ขณะที่กรรมดีเก่าของเขายังส่งผล แต่ตัวเขาทำความชั่วให้คนอื่นเห็น เราก็ไปเกิดมิจฉาทิฏฐิว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ถ้าหากว่าอยู่ในลักษณะนี้ โอกาสที่ท่านทั้งหลายจะตกไปอยู่ในทางที่ชั่ว ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้แน่นอน เพราะว่ากลายเป็นบุคคลที่มองเห็นโลกไปในแง่ร้ายเสียแล้ว ก็คือเห็นว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี ถ้าหากว่าทำชั่วแล้วได้ดี ถึงเวลาอยากได้ดี ก็เลยตั้งหน้าตั้งตาทำความชั่วกันไป

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังสอนว่า พวกเรามีกรรมเป็นของตนเอง มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ก็คือการกระทำของเราทั้งหมดนั้น ย่อมส่งผลให้เกิดสิ่งต่าง ๆ ทั้งดีและไม่ดีแก่พวกเราในภายหน้า และท้ายที่สุด ให้แต่ละคนเชื่อกันว่า บุคคลที่ทำกรรมดีย่อมได้ผลดี บุคคลที่ทำกรรมชั่วย่อมได้ผลชั่ว ถ้าไม่มีการปฏิบัติแล้วพบเห็นด้วยตนเอง เราก็มักจะเกิดความลังเลสงสัยอยู่เสมอ

    เรื่องพวกนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งที่เราท่านจะต้องตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมอย่างจริง ๆ จัง ๆ ไม่เช่นนั้นแล้ว โอกาสที่จะหลุดไปเป็นมิจฉาทิฏฐิก็จะมีมาก แล้วถ้าหลุดออกไปเมื่อไร ท่านทั้งหลายกว่าจะกลับคืนมาได้ก็อาจจะอีกหลายชาติ หรืออาจจะนับชาติไม่ถ้วน..!

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เราท่านทั้งหลายทำ จึงเป็นสิ่งที่บอกอนาคตของพวกเราได้อย่างชัดเจน เพียงแต่ว่าต้องรู้จักสังเกตว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นส่งผลให้เราเร็วช้าอย่างไร แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาละความชั่ว ทำความดี ทำจิตใจของเราให้ผ่องใส เห็นความเป็นทุกข์เป็นโทษของร่างกายนี้ เห็นความทุกข์ยากเร่าร้อนของโลกใบนี้ ท้ายที่สุด ก็ถอนจิตที่ยึดมั่นถือมั่นในร่างกายนี้ ในโลกนี้ออกเสียได้ เราก็จะหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน ไม่ต้องเสียเวลามาทุกข์ยากด้วยอาการเจ็บไข้ได้ป่วย เหมือนดังที่กระผม/อาตมภาพเป็นอยู่ในปัจจุบัน

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๑๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...