รูปหล่อพระพรหมเอราวัณสมเด็จลป.เม้าวัดสี่หลี่ยมสมเด็จมวลสารพลอยจีวรเกษาครูบาอินวัดฟ้าหลั่ง

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    8,182
    ค่าพลัง:
    +7,227
    ขอจองครับ
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,320
    ค่าพลัง:
    +21,398
    FB_IMG_1750939840896.jpg FB_IMG_1750940041799.jpg FB_IMG_1750939859715.jpg FB_IMG_1750940036683.jpg

    หลวงพ่อได้เอ่ยปากกล่าวไว้ว่า ใช้คุ้มครองคนที่ดวงยังไม่ถึงฆาตได้
    (แจกทหารไปรบเวียดนาม)
    พระหลวงพ่อนาคเนื้อผง วัดจันเสน นครสวรรค์ ๒๕๑๓ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค ,หลวงพ่อโอด วัดจันเสน ,หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ ฯลฯ ปลุกเสก
    ของดีราคาถูกของหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค ที่ทุกคนสามารถจับจองได้
    พระเนื้อผง หลวงพ่อนาค พิมพ์กลับบัว พ.ศ.๒๕๑๓
    หลวงพ่อนาคเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ปางนาคปรก ประดิษฐ์ฐานอยู่ที่วัดจันเสนครับ
    เมื่อพูดถึงวัดจันเสนก็ต้องนึกถึงพระเกจิอาจารย์รูปหนึ่งที่ชื่อเสียงขจรทั่วเมืองไท

    นามท่านคือ พระครูนิสัยจริยคุณ (หลวงพ่อโอด ปัญญาโร) อดีตเจ้าอาวาสวัดจันเสน
    พระเนื้อผงหลวงพ่อนาค ได้สร้างเมื่อปี ๒๕๑๓ เจตนาเพื่อแจกจ่ายแก่ญาติโยมที่เดินทาง
    มางานปิดทองฝังลูกนิมิต และบรรจุกรุที่หอระฆังและหลุมลูกนิมิต จำนวนการสร้าง ๘๔๐๐๐องค์
    โดยบรรจุกรุ ๔๒๐๐๐ องค์ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้มีไว้บูชา หรือทางวัดต้องการปัจจัยในการ
    บำรุงเสนะสถาน ก็จะได้เปิดกรุนำออกมาให้บูชาได้
    พระเนื้อผงรุ่นนี้ผู้ที่ดำริในการแกะแม่พิมพ์ก็คือ ท่านพระครูนิวิฐธรรมขันธ์ (หลวงพ่อเจริญ)
    เจ้าอาวาสองค์ประจุบัน ได้ให้ช่างที่กรุงเทพฯแกะแม่พิมพ์ขึ้นมาด้วยหินมีดโกน และจึงนำไป
    ถวายหลวงพ่อโอด ท่านชอบใจในพระพุทธลักษณะที่งดงามมาก และอนุญาตให้กดพิมพ์ได้
    ท่านกล่าวว่า "คุ้มครองผู้ที่ดวงไม่ถึงคาดได้"
    เนื้อหามวรสาร ประกอบด้วย ผงพุทธคุณ ผงเกสรดอกไม้บูชาหลวงพ่อนาค เกสรบัวในบึงจันเสน
    เปลือยหอยโข่งโบราณ ถ้วยชามโบราณจากเมืองจันเสน กล้วยและข้าวเหนียวเป็นตัวผสาน
    พิธีพุทธาพิเศก จัดขึ้นในวันเสาร์๕ ขึ้น๕ค่ำ เดือน๕ ของปี พ.ศ.๒๕๑๓ โดยนิมนต์พระเกจิ
    มานั้งปรกปลุกเสกจำนวนมาก โดยมีเรื่องน่าแปลกก็คือ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค ท่านไม่เคย
    ไปนั้งปรกปรุกเสกนอกวัดเลย ไม่ว่าใครจะมานิมนต์ แต่งานนี้ท่านกลับมานั้งปรกปลุกเสก ซึ่งน่า
    จะมาจากหลวงพ่อโอดท่านเป็นศิษย์ที่หลวงพ่อพรหมท่านเมตตานั้นเอง รายชื่อพระคณาจารย์มีดังนี้
    1.หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค จ.นครสวรรค์
    2.หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู จ.ลพบุรี
    3.หลวงพ่อบุญมี วัดเขาสมอคอน จ.ลพบุรี
    4.หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา
    5.หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี
    6.หลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม จ.สิงห์บุรี
    7.หลวงพ่อแกล วัดส้มเสี้ยว จ.นครสวรรค์
    8.หลวงพ่อเจ็ก วัดระนาม จ.สิงห์บุรี
    9.หลวงพ่อสด วัดหางน้ำสาคร จ.นครสวรรค์
    10.หลวงปู่คำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ จ.ลพบุรี
    11.หลวงพ่อเชน วัดสิงห์ จ.สิงห์บุรี
    12.หลวงพ่อโอด วัดจันเสน จ.นครสวรรค์
    เห็นรายนามของพระคณาจารย์ที่มาร่วมพิธีแล้ว บอกได้คำเดียวว่าสุดยอด
    แต่เดี๋ยวก่อนมันไม่เท่านั้น หลังจากเสร็จพิธีแล้ว “หลวงพ่อพรหม
    ได้ออกมานอกพระอุโบสถแล้วร้องประกาศว่า เฮ้ย ใครมีปืนบ้าง...
    ลองยิงข้ามหลังคาโบสถ์...ดูทีหรือ...ถ้ายิงออกอ้ายพรหมเอาหัวเป็นประกัน !!!!”
    มีนักเลงใจเด็ดชื่อพยับ ชักปืนลูกโม้ขึ้นมายิงไปทางพระอุโบสถ 3นัด
    ปรากฏเสียงดัง แชะๆๆ นายพยัพเห็นดังนั้นก็เลยหันปากกระบอกปืนไปทางหน้าวัด
    และยิงออกไป เสียงปืนดังลั่น เปรี้ยงๆๆ คนที่อยู่ในเหตุการณืจึงแห่ไปเช่าบูชากัน
    อย่างล้นหลามที่เดียว....

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 800 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250626_191210.jpg IMG_20250626_191240.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2025 at 20:06
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,320
    ค่าพลัง:
    +21,398
    p9050001s-jpg.jpg
    สืบหาพระเครื่องดี
    ยังไม่สิ้นขลัง หลวงพ่อสังข์ ชุติมนโต
    เห็นจะต้องพูดถึงหลวงพ่อสังข์ ชุติมนฺโต หรือ พระครูประโชตินวการ อดีตเจ้าอาวาสวัดใหม่กลอ ผู้ร่ำรวยความขลัง และ ทิ้งขลังไว้เป็นมรดกไม่น้อยอีกครั้ง
    หมู่นี้บ่นกันมากว่าหาพระดีๆ ยากเย็นแสนเข็ญเข้าทุกวัน ที่เป็นพระดีก็มรณภาพกันเกือบหมดแล้ว ที่ยังอยู่ให้กราบไหว้นั้นก็ไม่ทันรู้แน่ว่า จะคงความเป็นพระดีไปถึงไหน
    กำลังทำท่าว่าจะเป็นพระดีๆอยู่แท้ๆ ก็ได้ยินว่าสึกไปเฉยๆ
    สึกเพราะผู้หญิงก็มี
    ถูกจับสึกก็มี
    พระดีมันต้องดีจนกระทั่งตายไปกับความดีให้เห็นกับตา จึงจะแน่ใจได้ว่าดีจริงงั้นเถอะ
    ถึงงั้นบางทีตายไปแล้วก็ยังมีคนลอบขุดลอบคุ้ย ทั้งที่พระท่านก็หมดเวรหมดกรรมไปนานแล้ว
    ยิ่งขุดยิ่งเจออะไรๆที่มันแปลกประหลาดจนถึงกับขวัญเสียทิ้งพลั่วเผ่นหนีก็มี
    ในทางตรงกันข้าม ยิ่งขุดยิ่งนับถือก็มี
    ผมไม่เคยรู้จักหลวงพ่อสังข์เป็นการส่วนตัว พอเริ่มรู้จักชื่อของท่านก็สายไปมากแล้ว ทำให้ความรู้ทั้งปวงที่เกี่ยวกับตัวท่านมีน้อยที่สุด คงมีแค่เพียงเรื่องทหารยิงรถอีแต๋นฝ่าด่านเคอร์ฟิวส์เท่านั้นที่ตรึงใจอยู่ ตลอด เลยเป็นเหตุให้ตัดใจขาดจากท่านไม่ไหว พระขลังอย่างนี้ใครจะลืม แม้หลับตาลงยังฝันถึง พอตื่นใจมันก็ขึ้นชอบกล
    เห็นเหรียญรุ่นแรกอยู่ในคอใคร พอปรี่เข้าไปใครเขาก็หวง
    หวงได้หวงไป
    เขาไม่ได้สร้างแค่เหรียญเดียวเท่าที่เห็นนั่นหรอก
    ยังไงก็หาได้
    อย่าว่าแต่เหรียญรุ่นแรกเลย รุ่นไหนๆก็หาได้หมด
    ความโลภไม่เข้าใครออกใคร ตราบใดที่ยังไม่เห็นทางพระนิพพาน ความโลภย่อมเป็นเข็มทิศนำทาง
    เป็นเข็มทิศที่ทรงพลังเสียด้วย
    เมื่อโลภนั้นได้สิ่งหวังตั้งใจแล้วมันก็จะอ่อนแรงไปเอง
    เรียกว่าเป็นวิธีแก้โลภอีกแนวทางหนึ่งของปุถุชนที่เป็นชาวบ้านอยู่ในชุมชนขลังแบบผม
    ถ้ายังโลภอยากได้อยู่ ก็ขวนขวายหาให้ได้ โลภก็หายไปในที่สุด
    ถ้าเห็นว่าถูกใจ หรือเหมาะสมกับตัวเราแล้วอย่าลังเลเชียว
    ทุกรุ่นของหลวงพ่อดีหมด
    คนแถววัดรุ่นเก่าชอบเอาไปผูกคอหมา หรือใส่ปากปลาช่อนทดลองฟันอยู่บ่อยๆ พวกเขาไม่เลือกรุ่นกันเลย ขอแต่ให้เป็นของหลวงพ่อแล้วสบายใจทั้งสิ้น
    เรียกว่าเก็บของดี ไม่ใช่เก็บของแพง
    ถ้าจะเก็บของแพงแล้วล่ะก็ ตัวใครตัวมันแล้วล่ะกัน
    มีพระปิดตาอยู่รุ่นหนึ่ง หล่อด้วยตะกั่วเป็นฝีมือหล่อของหลวงพ่อทั้งหมด เข้าใจว่ามีจำนวนไม่มาก ท่านทำไว้ก่อนเหรียญรุ่นแรก คือทำขึ้นระหว่างปี 2516 เรียกชื่อว่า พระปิดตามหาราช ขนาดประมาณเล็บหัวแม่มือ หลังจารอักขระขอม เป็นทั้งของดีทั้งไม่แพงที่น่าจะหาได้ แต่ไม่แน่ใจว่าที่คุณประวิทย์จะมีหรือไม่ ถ้ามีก็ถือว่าเป็นโชคดี
    อย่าไปหาที่วัดนะครับ เพราะว่าที่นั่นไม่มีอะไรเหลืออยู่ ที่ยังเหลืออยู่ก็เป็นความทรงจำของเหล่าศิษย์ที่มีให้กับหลวงพ่อเท่านั้น
    ความทรงจำที่แสนดีและเปี่ยมล้นไปด้วยความอบอุ่น
    ความเป็นพระที่มากด้วยเมตตาที่แผ่ให้แก่คนทุกชั้น ไม่เลือกว่าสูงว่าต่ำ
    ความเป็นพระที่สมถะ ไม่สะสมวัตถุเงินทอง วัตถุมงคลใครสร้างมาเป็นแจกหมด ท่านว่าคนยากคนจนทั้งนั้นเอาเงินเขาไม่ลง แถมยังแจกทีละกำมืออีกด้วย
    ความ เป็นพระนักปฏิบัติ พอว่างจากรับแขกเป็นเข้าห้องปิดประตูเงียบ ห้องของท่านเป็นฝาไม้ มีทั้งรูทั้งช่อง ให้ศิษย์ขี้สงสัยแอบดูเมื่อไรเป็นเห็นท่านนั่งสมาธิอยู่เมื่อนั้น
    ผมจะลองทวนความทรงจำของเหล่าศิษย์ดูสิว่าจะมีจำเรื่องใดได้บ้าง
    ท่านชอบจาร
    ทุกเหรียญทุกรุ่น จะกี่พันกี่หมื่นจารหมด จารด้วยมือท่านเองผู้เดียว
    ท่านชอบประกอบพิธีกรรมทางขลังในระหว่างเวลาสุริยคราส หรือจันทรคราส ทั้งทำตะกรุด ลงนะหน้าทอง ลงของทั้งปวงให้กับทุกคนจนกว่าจะหมดเวลา
    นักมวยจะชอบให้ท่านลงผ้าเคียนมือ (ผ้าพันมือ) เวลาขึ้นชกไม่มีแตก
    มีนักมวยคนหนึ่งขึ้นชกในงานวัดหลวงพ่อ มีนักเลงถือปืนขึ้นไปยิงบนเวทีต่อหน้าคนดูทั้งสนาม ยิงไม่ออก นักมวยตกใจกลัว เผ่นลงจากเวทีวิ่งหนีไปหาหลวงพ่อ นักเลงไล่ตามไปยิงซ้ำถึงหน้าประตูห้องหลวงพ่ออีก 3 นัด แต่ไม่ออก ชาวบ้านผู้กล้าหาญได้กรูกันเข้าจับตัวนักเลงปืนไว้ได้
    วิชาดีอีกอย่างหนึ่ง คือ เสกทองเข้าตัว หลวงพ่อจะทำเฉพาะวันอังคาร กับวันเสาร์ โดยชโลมน้ำมันงาแล้วปิดทอง จากนั้นลงเหล็กจารทับแผ่นทอง เสร็จแล้วร่ายมนต์ตบลงไปที่แผ่นทอง
    ถ้าจะให้ได้ผลทางเมตตามหานิยม ใช้แผ่นทอง 9 แผ่น แต่ถ้า 108 แผ่น ปิดลงที่กลางหลังให้ผลทางคงกระพันชาตรี
    นักมวยที่ถูกไล่ยิงก็ได้ลงทอง 108 แผ่น ก่อนขึ้นเวที
    เลยรู้กันว่าเป็นมหาอุดด้วย
    ตะกรุด ซึ่งเป็นของขลังที่ผมชอบมากที่สุด กลับเป็นว่าท่านทำไว้น้อยมาก ไม่ได้ทำแจกโดยทั่วไป ทำให้เฉพาะคน
    เกี่ยวกับวัตถุขลังของท่าน ทราบว่ามีหลายแบบ หลายแนว ไม่แตกต่างจากอาจารย์ขลังของสำนักไหนๆ มีเสื้อยันต์ ผ้ายันต์ หนังเสือ เขี้ยวเสือ ซึ่งของเหล่านี้หายากพอๆ กับตะกรุด
    ใครมีพี่เมีย น้องเมีย ญาติโกโหติกา เป็นคนข้างวัดใหม่กลอ ลองๆปลุกระดมความโลภออกไปแสวงหาดู
    —–
    คุณประวิทย์เคยถามหลวงพ่อเป็นการส่วนตัวว่า ใครเป็นครูบาอาจารย์ของท่าน
    คำตอบคือ
    หลวงพ่อเสี่ยง วัดจันทรังสี อ.บัวใหญ่ เมืองโคราช ซึ่งทุกวันนี้ถือว่าวัตถุมงคลของหลวงพ่อเสี่ยงเป็นของยอดนิยมสุดในโคราช

    หลวงพ่อสอน วัดเสิงสาง โคราช ที่เหรียญรุ่นแรกยังน่าเก็บ เพราะว่ายังไม่แพงมากนัก
    หลวงพ่อปุ๊ก วัดพุทรา อ.เมืองโคราช เหมือนกัน ของขลังของท่าน ทั้งตำรวจและทหารชอบมาก ขึ้นชื่อลือชาทางเหนียวที่สุด
    สมัยหลวงพ่อสังข์ยังเป็นวัยรุ่นนั้นออกจะซุกซนเกเรไม่เบา ท่านแขวนพระปิดตาของหลวงพ่อปุ๊กประจำ ตีกันเมื่อไรไม่เคยแตก หลวงพ่อออกปากว่าหลวงพ่อปุ๊กเหนียวจริงๆ ถูกจริตของท่านเป็นอันมาก ในบรรดาครูบาอาจารย์ทั้ง 3 องค์ หลวงพ่อสังข์จะพูดถึงหลวงพ่อปุ๊กบ่อยที่สุด บางทีเมื่อท่านได้ทำของขลังด้วยตัวเอง จึงโดดเด่นตามแนวทางหลวงพ่อปุ๊ก คือ เหนียวเป็นเอก
    เรียกว่าเจริญรอยตามความเหนียวแห่งหลวงพ่อปุ๊กทุกกระเบียด
    เมื่อทราบเช่นนี้ความโลภในเม็ดเลือดทุกเม็ดของผมก็พลุ่งพล่านต้องการหาทาง ดับโลภให้ได้โดยพลัน พรรคพวกที่โคราชก็บอกว่า หลวงพ่อปุ๊กออกจะหายากเกินไปหน่อย คงต้องใช้เวลาดับโลภให้ผมไม่น้อย ซึ่งผมยังไม่รู้เลยว่าโลภตัวนี้จะเหมือดหายอีกกี่เดือนกี่ปี
    โคราชนี้ ถ้าจะว่าไปแล้วเป็นเมืองที่เคยมีและยังมีครูบาอาจารย์ทางขลังสืบทอดกันมาทุกยุคทุกสมัย เหมือนอยุธยาที่ไม่เคยสิ้นพระดี เสียแต่ว่าออกจะเงียบเชียบเกินไป แม้คนทางใกล้ก็ไม่รู้จัก
    หลวงปู่เสาร์ วัดกุดเวียน ก็หนึ่งล่ะ ใครไปกราบแล้วจะติดใจ เป็นการถอดบุคลิกพระดีโคราช คือนอบน้อมถ่อมตัวแบบพระบ้านนอก มีเมตตาแผ่ให้ทุกคนโดยไม่มีประมาณ
    ยังมีอีกองค์หนึ่งที่เงียบสงัดจนน่าตกใจคือ หลวงปู่แสง สีลนนฺโท วัดหนองเขวา อำเภอโนนไทย เชื่อกันว่าท่านเป็นศิษย์อุปัชฌาย์กลั่น วัดพระญาติฯโดยที่ถามท่าน แล้วจะได้ความเงียบแทนคำตอบ เข้าใจว่าท่านเกรงจะเป็นการเอาชื่อครูบาอาจารย์มาขาย จึงนิ่งสนิท
    ทั้งยังกล่าวกันอีกว่าท่านคือ พระที่มีอาวุโสสูงสุดในเมืองโคราช คนโคราชจะเห็นพระชราภาพที่ตนไม่รู้จักนั่งในงานพิธีต่างๆ ตรงตำแหน่งพระที่มีพรรษามากกว่าใครเสมอ
    แปลกที่ความเงียบของท่านยังเงียบกริบ แม้ปรากฏตัวในที่ชุมชน
    ใครมั่นใจว่าตนมีฝีเท้าเบาสุด จงจรดปลายเท้าอันเงียบเชียบเข้าไปหาท่านเถิด บางทีจะเกิดวาสนาต้องตรงกัน ก็จะเป็นมงคลหาน้อยไม่
    จะเป็นที่ดับโลภอีกแห่ง ฤาจะมีผู้ใดล่วงรู้

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ เวปอำพลเจน.คอม

    พระครูประโชตินวการ"
    หลวงพ่อสังข์ ชุติมนฺโต
    วัดใหม่บ้านกลอ อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา
    ( พระเถราจารย์ผู้ทรงวิทยาคมอันเข้มขลัง )
    ตำนานสายเหนียวคงกระพันชาตรีแห่งโนนสูง
    ประวัติหลวงพ่อสังข์_ชุติมนฺโต
    ท่านเกิดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ.2456
    บิดาของท่านชื่อ นายสน มารดาชื่อ นางนาค นามสกุล ตรวจนอก
    วัยเด็กเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนวัดบ้านใหม่ จนกระทั่งอ่านออกเขียนได้
    เมื่ออายุครบบวชก็ทำการอุปสมบท ที่วัดบ้านใหม่(กลอ) เมื่อวันที่ 7 กรกฏาคม พ.ศ. 2478
    โดยมีท่านพระปลัดแจ้ง เป็นพระอุปัชฌาย์
    พระอาจารย์อยู่ เป็นอนุสาวนาจารย์
    พระอาจารย์เปีย เป็นพระกรรมวาจาจารย์
    เมื่อท่านบวชแล้วท่านก็มุ่งหน้าเสาะหาครูบาอาจารย์ ปรมาจารย์สององค์แรก ก็มี หลวงพ่อเมฆ หลวงพ่อคง ซึ่งอยู่ที่วัดบ้านใหม่นั่นเอง จากนั้นท่านก็ไปขอเรียนวิชากับพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม แม่ทัพธรรมสายหลวงปู่มั่น หลวงพ่อรอด วัดพะเนา
    หลวงพ่อปุก วัดพุทธา ที่สำคัญก็คือ หลวงพ่อสอน วัดเสิงสาง ผู้มีอำนาจจิตอันแก่กล้า หลังจากที่ได้เรียนวิชากับครูบาอาจารย์ต่างๆ ท่านได้กลับมาจำพรรษาที่วัดบ้านใหม่ จนกระทั่งได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส
    หลวงพ่อสังข์_ท่านชอบจารวัตถุมงคล
    ทุกเหรียญ ทุกรุ่น จะกี่พันกี่หมื่นจารหมด จารด้วยมือท่านเองผู้เดียว ท่านชอบประกอบพิธีกรรมทางขลังในระหว่างเวลาสุริยคราส หรือจันทรคราส ทั้งทำตะกรุด ลงนะหน้าทอง ลงของทั้งปวงให้กับทุกคนจนกว่าจะหมดเวลานักมวยจะชอบให้ท่านลงผ้าเคียนมือ (ผ้าพันมือ) เวลาขึ้นชกไม่มีแตกมีนักมวยคนหนึ่งขึ้นชกในงานวัดหลวงพ่อ มีนักเลงถือปืนขึ้นไปยิงบนเวทีต่อหน้าคนดูทั้งสนาม ยิงไม่ออก นักมวยตกใจกลัว เผ่นลงจากเวทีวิ่งหนีไปหาหลวงพ่อ นักเลงไล่ตามไปยิงซ้ำถึงหน้าประตูห้องหลวงพ่ออีก 3 นัด แต่ไม่ออก ชาวบ้านผู้กล้าหาญได้กรูกันเข้าจับตัวนักเลงปืนไว้ได้
    วิชาดีอีกอย่างหนึ่ง คือ เสกทองเข้าตัว หลวงพ่อจะทำเฉพาะวันอังคาร กับวันเสาร์ โดยชโลมน้ำมันงาแล้วปิดทอง จากนั้นลงเหล็กจารทับแผ่นทอง เสร็จแล้วร่ายมนต์ตบลงไปที่แผ่นทอง
    ถ้าจะให้ได้ผลทางเมตตามหานิยม ใช้แผ่นทอง 9 แผ่น แต่ถ้า 108 แผ่น ปิดลงที่กลางหลังให้ผลทางคงกระพันชาตรี นักมวยที่ถูกไล่ยิงก็ได้ลงทอง 108 แผ่น ก่อนขึ้นเวที เลยรู้กันว่าเป็นมหาอุดด้วย
    ตะกรุด ซึ่งเป็นของขลังที่ลูกศิษย์ชอบมากที่สุด กลับเป็นว่าท่านทำไว้น้อยมาก ไม่ได้ทำแจกโดยทั่วไป ทำให้เฉพาะคน เกี่ยวกับวัตถุขลังของท่าน ทราบว่ามีหลายแบบ หลายแนว ไม่แตกต่างจากอาจารย์ขลังของสำนักไหนๆ มีเสื้อยันต์ ผ้ายันต์ หนังเสือ เขี้ยวเสือ ซึ่งของเหล่านี้หายากพอๆ กับตะกรุด
    วัตถุมงคล ของท่านมีหลายชนิดและเอกลักษณ์อย่างหนึ่งในวัตถุมงคลของท่านคือท่านจะลงเหล็กจารเอาไว้แทบทุกรุ่นที่ได้รับความนิยม ได้แก่เหรียญรุ่นแรกปี 17 เหรียญปี 19 พระกริ่งและ พระสมเด็จรุ่นแรก เป็นต้น

    1376038-51d6b-1-jpg.jpg

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของรถบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระปิดตารุ่นแรกพิมพ์ใหญ่หลวงพ่อสังข์วัดบ้านใหม่กลอ มีรอยจารยันต์จารเปียกด้านหลัง จารเปียก คือ การจารในเนื้อพระตั้งแต่ เนื้อ พระ ยัง ไม่แห้ง แล้วลงเหล็กจารอักขระยันต์ในองค์พระ

    ให้บูชา 400 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    img_20250626_163033-jpg.jpg img_20250626_162946-jpg.jpg img_20250626_162905-jpg.jpg
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,320
    ค่าพลัง:
    +21,398
    จัดส่ง เมื่อวาน และ วานก่อน
    1750956984604.jpg 1750956986361.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,320
    ค่าพลัง:
    +21,398
    FB_IMG_1751002589296.jpg FB_IMG_1751002525248.jpg

    เหรียญหลวงพ่อแดง วัดป่าสามัคคีธรรม รุ่นแรกปี21
    ท่านเจ้าคุณแดงเป็นศิษย์โดยตรงของท่านพ่อลี ธัมมธโร วัดอโศการาม ครับ ท่านพ่อหมายมั่นปั้นมือให้ท่านเจ้าคุณแดงครองวัดต่อจากท่าน แต่เจ้าคุณแดงพยายามเลี่ยงตลอดมาด้วยเหตุผลว่า ศิษย์ท่านพ่อโดยมากเป็นพวกปากตะไกร และหัวดื้อ ว่ายากสอนยาก เขาเชื่อฟังนับถือแต่ท่านพ่อลีเท่านั้น เมื่อท่านพ่อลีนิพพานลง ท่านก็หาหนทางหนีจนได้โดยกลับไปพักวัดที่ท่านสร้างเอาไว้ชื่อวัดป่าสามัคคีธรรม ต.ท่าคันโท อ.ท่าคันโท จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งช่วงนั้นท่านต้องดูแลวัดประชานิยม ต.กาฬสินธุ์ อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ ด้วย
    ต่อมาท่านได้ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าสาลวัน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมาอยู่ราวสองสามพรรษา หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ก็มารับช่วงต่อ ท่านเจ้าคุณแดงจึงได้กลับไปอยู่วัดป่าสามัคคีธรรมอย่างถาวรสมปรารถนาท่าน แต่ถึงกระนั้นท่านก็ยังไป ๆ มา ๆ ระหว่างวัดท่านและวัดสาขาต่าง ๆ โดยเฉพาะวัดอโศการามที่ท่านไม่อาจทิ้งได้เสียทีเดียว เพราะอุตสาหะบากบั่นสร้างวัดนี้ขึ้นมากับมือร่วมกับท่านพ่อลี
    เหรียญรุ่นแรกของท่านเจ้าคุณแดงนั้นเป็นรูปทรงเสมา สร้างขึ้นในปีพ.ศ. ๒๔๙๕ โดยคณะศิษย์ "วรจักร" เป็นผู้ขอสร้างถวาย ซึ่งท่านก็เมตตาอนุญาตเพราะคณะนี้เป็นกำลังหลักในการร่วมสร้างวัดอโศฯ มาด้วยกัน อีกทั้งยังเป็นอุปัฏฐากสำคัญของท่านพ่อลีและท่านเจ้าคุณแดงเองด้วย แต่เมื่อรับเหรียญมาและอธิษฐานจิตเรียบร้อยแล้ว ท่านกลับคืนให้คณะผู้สร้างเพียงบางส่วนตามที่เขาขอ ส่วนที่เขาถวายท่านไว้ท่านไม่ได้แจกจ่ายเลย คงเก็บเงียบไว้และอธิษฐานพรอยู่เสมอ ๆ จวบจนวันท่านพ่อมาสร้างนาแม่ขาวขึ้นเป็นวัดอโศการามในปีพ.ศ. ๒๔๙๘ และประกอบพิธีฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษในปีพ.ศ. ๒๕๐๐ ท่านพ่อลีได้ทำพิธีพุทธาภิเษก "พระโพธิจักร" อันลือลั่น นอกจากการ "บินเดี่ยว" โดยท่านพ่อลีเองแล้ว ก็ยังมีครูบาอาจารย์ผู้ทรงธรรมคุณและอภิญญามากมายเข้าร่วมอธิษฐาน อาทิ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม, หลวงปู่ดุลย์ อตุโล, หลวงปู่สาม อกิญจโน, หลวงปู่สิม พุทธาจาโร, หลวงปู่หลุย จันทสาโร, หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ,หลวงพ่อพุธ ฐานิโย และท่านเจ้าคุณแดงนี้องค์หนึ่ง เป็นต้น เหล่าศิษย์เชื่อมั่นกันว่าท่านเจ้าคุณแดงได้นำเหรียญเสมารุ่นแรกที่เหลือนี้มาเข้าร่วมพิธีมหาพุทธาภิเษกที่ยิ่งใหญ่นี้ด้วยแน่นอน
    ต่อมาท่านได้ตัดสินใจนำเหรียญนี้ออกแจกในงานฉลองอายุครบ ๗๒ ปีของท่านประมาณปีพ.ศ. ๒๕๒๓ ทำให้หลายคนได้รู้ว่าแท้จริงแล้วเหรียญรุ่นแรกของท่านมีอยู่จริง เป็นที่สังเกตว่าเหรียญเสมาที่ท่านอธิษฐานจิตอย่างยาวนานหลายสิบปีนี้ ท่านเจ้าคุณแดงจะ "จาร" อักขระที่ด้านหลังเหรียญเหนือยันต์ทั้งด้านซ้ายและขวาทุกเหรียญ หากเหรียญไหนไม่มีก็สรุปได้ว่าเป็นเหรียญที่ท่านแจกในปีที่สร้าง คือพ.ศ. ๒๔๙๕ นั่นเอง
    ส่วนเหรียญรูปไข่ปีพ.ศ. ๒๕๒๑ นั้น เกิดจากคณะศิษย์ชาวจังหวัดสมุทรปราการที่เลื่อมใสศรัทธาท่านขอสร้างขึ้น และด้วยความที่ไม่ทราบ ไม่ระแคะระคายมาก่อนเลยว่าท่านเจ้าคุณแดงนั้นมีเหรียญรุ่นแรกที่คณะศิษย์วรจักรขอสร้างอยู่ เมื่อท่านเจ้าคุณอนุญาตและกำหนดยันต์แล้ว ศิษย์สมุทรปราการจึงได้ใส่คำว่า "รุ่นแรก" ลงไปด้วย แต่หากจะมองให้เป็นว่า "รุ่นแรก" ของศิษย์สมุทรปราการที่สร้างถวาย ก็จะได้รับความสุขใจและน่ารักดีไปอีกแบบ
    แต่ไม่ว่าจะรุ่นไหนอย่างใด หากท่านเจ้าคุณแดง ธัมมรักขิโต ได้อธิษฐานจิตแล้วไซร้ วัตถุนั้น ๆ ย่อมเป็นของสูงค่าสูงพุทธคุณ เพราะอานุภาพจิตของท่านมหัศจรรย์ล้นเหลือแทบไม่ต่างจากท่านพ่อลีผู้เป็นบูรพาจารย์เลย ท่านพ่อเมือง พลวัฑโฒ วัดป่ามัชฌิมาวาส ยังได้กล่าวยกย่องถึงภูมิจิตภูมิธรรมของท่านเจ้าคุณแดงอยู่บ่อยครั้ง ท่านว่า เวลาเราเดินจงกรมแล้วง่วงเหนื่อยเมื่อยเพลีย คิดอยากเลิก หรือเดิน ๆ อยู่แล้วกลัวผีไม่อยากเดินอีกต่อไป เพียงได้ยินเสียงท่านเจ้าคุณแดงกระแอมไอและหวดหางกระเบนในอากาศเสียงดังเควี้ยวคว้าวตรงมาทางที่ท่านยืนอยู่ ความง่วงเหนื่อยเมื่อยเพลีย และความหวาดกลัวภูตผีเป็นอันเตลิดแน่บหนีเข้าป่าหมดสิ้น สามารถนั่งสมาธิหรือเดินจงกรมได้อย่างแข็งขัน จิตทรงตัวเป็นสมาธิดีเยี่ยม นั่นเพราะอาศัยความกลัวและเกรงบารมีท่านเจ้าคุณแดงเป็นหนักหนา ไม่มีพระเณรรูปใดไม่กลัวเกรงในความดุและเอาจริงเอาจังของท่านเลย "

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250626_152653.jpg IMG_20250626_162829.jpg
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,320
    ค่าพลัง:
    +21,398
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,320
    ค่าพลัง:
    +21,398
    FB_IMG_1751038680725.jpg FB_IMG_1751038675343.jpg FB_IMG_1751038678069.jpg FB_IMG_1751038683420.jpg FB_IMG_1751038687592.jpg FB_IMG_1751038690699.jpg

    เหรียญพระพุทธทักษิณมิ่งมงคล ปี ๒๕๑๑ วัดเขากง จ.นราธิวาส
    เหรียญดีพิธีใหญ่ ในหลวงทรงเสด็จเป็นประธาน หลวงปู่ทิม วัดช้างให้,พระอาจารย์นำ วัดดอนศาลา,หลวงพ่อคลิ้ง วัดถลุงทอง ฯลฯ ยอดพระเกจิสายเขาอ้อ อาจารย์ ไชยคีรี ฯลฯร่วมพุทธาภิเษก
    จัดสร้างโดยนำชนวนมวลสารจากเกจิอาจารย์ดัง-สายใต้มากมาย อาทิเช่น หลวงปู่นาค วัดระฆัง อาจารย์นอง วัดทรายขาว หลวงพ่อแดง วัดเชิงเขา อาจารย์ชุม ไชยคีรี ฯลฯ และยังได้ทำการปลุกเสกอีกหลายวาระ
    รายนามพระเกจิอาจารย์ที่ร่วมปลุกเสก
    1.พ่อท่านเส้ง วัดแหลมทราย จ.สงขลา
    2.พ่อท่านแสง วัดคลองน้ำเจ็ด จ.ตรัง
    3.พ่อท่านเมือง วัดท่าแหน ลำปาง
    4.หลวงปู่นาค วัดระฆัง กทม.
    5.พ่อท่านหมุน วัดเขาแดงตะวันออก จ.พัทลุง
    6.พระอาจารย์ทิม วัดช้างให้ จ.ปัตตานี
    7.หลวงพ่อดำ วัดตุยง จ.ปัตตานี
    8.พระอาจารย์นำ วัดดอนศาลา จ.พัทลุง
    9.พ่อท่านเขียว วัดหรงบล
    10.ฆราวาสสายเขาอ้อ ท่านขุนพันธุ์ฯ อาจารย์ชุม ไชยคีรี ฯลฯ
    เหรียญรุ่นนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จมาเป็นประธาน สร้างจากชนวนวัตถุมงคลเก่าๆและตะกรุดของเกจิอาจารย์จำนวนมาก และต่อมายังเข้าปลุกเสกอีกหลายวาระ ในพิธีเททอง ขณะกำลังหลอมโลหะวัตถุดิบ ว่ากันว่าแผ่นยันต์ของพระอาจารย์ทิม วัดช้างให้, พ่อท่านเส้ง วัดแหลมทราย และของอาจารย์นำ วัดดอนศาลา หลอมไม่ละลาย ทำให้ต้องตักแผ่นขึ้นมาใหม่ทำพิธีอีกจึงหลอมได้สำเร็จ
    วัดเขากง สถานที่ประดิษฐาน บริเวณพุทธอุทยาน วัดเขากงมงคลมิงมิตรปฏิฐาราม ตำบลลำภู อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส สถานที่อันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่เป็นศรีสง่าแก่ภาคใต้องค์หนึ่งได้แก่ พระพุทธทักษิณมิ่งมงคล การก่อสร้างได้เริ่มขึ้นในปี ๒๕๐๙ แล้วเสร็จในปี ๒๕๑๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเสด็จพระราชดำเนินทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเมื่อปี ๒๕๑๓
    พระพุทธทักษิณมิ่งมงคลเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่มีพุทธลักษณะงดงาม ประกอบกับประดิษฐานอยู่ยอดเขาจึงสูงเด่นเป็นที่น่าเลื่อมใสศรัทธา วัดเขากง-พระพุทธทักษิณมิ่งมงคล จากตัวเมืองใช้ทางหลวงสายอำเภอเมืองนราธิวาส อำเภอระแงะ (ทางหลวงสาย 4055) ประมาณ 6 กิโลเมตร ถึงกิโลเมตรที่ 105 จะมองเห็นวัดเขากงและพระพุทธรูป ทักษิณมิ่งมงคลสีทอง ประทับนั่งปางประทานพรอยู่บนยอดเขา วัดเขากงตั้งอยู่ในตำบลเขากง อำเภอเมือง มีเนื้อที่กว้าง 142 ไร่ พระพุทธทักษิณมิ่งมงคล เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2509 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2512 สิ้นค่าก่อสร้าง ทั้งสิ้นกว่า 5 ล้านบาท องค์พระเป็นพระพุทธรูปปางปฐมเทศนา หน้าตักกว้าง 17 เมตร สูงจากบัวใต้พระเพลา ถึงพระเกศบัวตูม 23 เมตร และ ได้มีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ พร้อมด้วยดินจากสังเวชนียสถาน มา ประดิษฐานที่พระอุระเบื้องซ้าย การก่อสร้างเป็นแบบคอนกรีตเสริมเหล็กประดับด้วยกระเบื้องโมเสดสีทอง องค์พระพุทธรูป มีลักษณะตามอิทธิพลของสกุลศิลปะอินเดียใต้โจฬะรุ่นหลัง จะพบพุทธรูปสกุลนี้ มากที่จังหวัดนครศรีธรรมราช จนเรียกกันว่า "แบบนครศรีธรรมราช" หรือเรียกอย่างสามัญว่า พระพุทธรูป แบบ "ขนมต้ม" เนื่องจากพระวรกายล่ำสันทุกส่วน สังฆาฏิจัดกลีบแผ่กว้างเต็มพระอังสาเบื้องซ้ายและชายจีวร ใต้พระเพลาทำเป็นริ้วให้ความรู้สึกของการตกแต่งสวยงามกว่าแบบอื่นอย่างเห็นได้ชัด นอกจากองค์พระพุทธทักษิณมิ่งมงคลแล้ว ยังมีพระอุโบสถและเจดีย์สิริมหามายา ซึ่งเป็นรูปทรง ระฆัง ภายในโปร่ง บนยอดสุดบรรจุพระบรมสารีริกธาตุอันศักดิ์สิทธิ์

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250627_225331.jpg IMG_20250627_225411.jpg
     
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,320
    ค่าพลัง:
    +21,398
    1751041289876.jpg

    ผูู้สืบทอดยันต์ อะ ปะ จะ คะ ของหลวงพ่อเฒ่า วัดคังคาว
    หลวงพ่อป่วน ทั้งเหรียญเเละพระผงของท่าน จะใช้คาถานี้ของหลวงพ่อเฒ่าตลอด
    ท่านมีความสนิทสนม เเละเคารพหลวงพ่อกวยมาก
    พระเครื่องยุคเก่าๆของท่าน มักนิมนต์หลวงพ่อกวยมาช่วยเสกเสมอ
    เเต่ตัวท่านเองนั้น ก็เก่งไม่เเพ้ใคร ตะกรุดโทนของท่าน เค้าว่าสมัยก่อน เอ็มสิบหก ยิงยังไม่ออก
    รูปหล่อของท่าน ทหารโดดร่มไม่กาง ตกมาไม่ตาย
    พระดี พระเก่ง อีกหนึ่งของอ.สรรคบุรีครับ
    ขอบพระคุณข้อมูลจาก เวป http://www.watkositaram.com
    Chatchai Intano
    19 ตุลาคม 2018 ·
    ว่ากันด้วยเครื่องราง ของหลวงพ่อป่วน เครื่องราง หลวงพ่อป่วน การสร้างน้อย มีจัดสร้างอยู่ สามอย่าง
    คือ ผ้ายันต์ กระกรุดโทน และปลัดขิกทำจากไม้พญางิ้วดำ
    กระกรุดโทนสร้างมาแต่ไม่ถึง 200 ดอก
    มีการสร้างสองรุ่นคือ รุ่นแรกปี2532 สร้าง จำนวน 72 ดอก เท่าอายุหลวงพ่อและกระกรุดรุ่นสอง สร้างจำนวน100 ดอก ในพิธีเสาร์ห้า ปี 2535 ปัจจุบันหาชมได้อยาก
    เดียวว่างจะมาเล่ารายอะเอียด
    ให้ฟังอีกที่ ส่วนปลัดขิก สร้างวาระเดียว ปี 2532 เนื้อไม้พญางิ้วดำ..จำนวนการสร้างน้อยมากมีทั้งใหญ่และเล็ก ขนาดใหญ่จะยาวประมาณ 2นิ้วครึ่ง
    และขนาดเล็กจะยาว ราวๆ2นิ้ว...
    จำนวนการสร้างมีไม่เกิน 100 ตัวทั้งใหญ่และเล็กรวมกัน.เนื่องจากไม้ที่หลวงพ่อได้มานั้น เป็นไม้งิ้วดำเก่า อายุหลายร้อยปี...
    เปลือกไม้พุป่น จึงไม่สามารถทำได้เยอะ
    ทำได้แค่ในเนื้อไม้ชั้นใน จึงทำให้ได้จำนวนการสร้างน้อย บางคนที่อยู่ในเหตุการ ในสมัยนั้นบอกจริงมีประมาณ 70-80 ตัวเท่านั้น......เดียวว่างๆจะถ่ายรูปสวยๆให้ชมครับ
    เข้าเรื่องเลยล่ะกัน วันนี้จะมาเล่าเรื่องราว
    เกียวกับผ้ายันต์ รุ่นต่างๆ
    ผ้ายันต์หลวงพ่อป่วน จัดสร้างสองวาระ
    วาระแรก สร้างปี 2532 เนื่องในงานทำบุญครบ 6 รอบ 72 พรรษา....ออกจำหน่าย ในงานวัด ช่วงเดือนตุลาคมตรงวันเกิดหลวงพ่อ ถือเป็นงานใหญ่ของวัดเป็นงานประจำปี ออกจำหน่ายพร้อมวัตถุมงคลอีกหลายรุ่นในปีนั้น ไม่ว่าจะเป็นสมเด็จผงใบลาน ซื้งสร้างมาก่อนนั้น เพราะสมเด็จผงใบลานสร้างมาแต่ปี2525 เรื่อยมา จนถึงปี2532
    เดียวมา
    เล่าให้ฟังที่หลังเรื่องสมเด็จ. วันหลัง
    นอกนั้นยังมีเหรียญกลมรุ่นปลอดภัย สร้างปีเดียวกัน สมเด็จหลังรูปรุ่นทรัพย์ทวี ตระกรุดรุ่นแรก รูปหล่อบูชาหน้าตัก5นิ้ว รูปหล่อรุ่นแรก(เอ็ม16) ..
    ส่วนวาระ2 ผ้ายันต์ออกจำหน่ายในปี 2535 ผ่านพิธีเสาร์ห้า ถึง3ครั้ง มีสองแบบ แบบเเรกคือใช้บล็อคเดิม ของปี2532 แต่เปลี่ยนจาก คำว่าทำบุญวันเกิดเป็น เสาร์ห้าปี 36 และแบบที่สองคือ ผ้ายันต์ อะปะจะคะ ค่ายกล ตำหรับ หลวงพ่อเฒ่า วัดคังคาว ซึ่งหลวงพ่อป่วน บวชที่วัดคังคาว และได้เล่าเรียนสายวิชา อะปะจะคะ จากอุปชาของท่านคือ หลวงพ่อพระอุปชาสอน ท่านจึงสร้างผ้ายันต์รุ่นนี้ขึ้นเป็นการบูชาครู ระลึกถึงหลวงพ่อเฒ่า และหลวงพ่อสอนพระอุปชา......และในฐานะศิษย์สายตรง อะปะจะคะ...
    หลังจากนั้นหลวงพ่อก็ไม่สร้างวัตถุมงคลใดอีกเลยเนื่องจาก อาพาทหนัก วัตถุมงคลที่สร้างแล้วทั้งในวาระที่2 ที่เขียนปี2536
    ทั้งหมดแท้จริงคือสร้างในปี 2535 ทั้งสิ้น
    แต่ทางกรรมการวัดในสมัยนั้น ตั้งใจจะให้ออกจำหน่าย ในงานครบรอบวัดเกิดหลวงพ่อ ในวันที่15 ตุลาคม ปี2536.
    ซึ่งตรงกับวันเกิดหลวงพ่อและเป็นงานประจำปีของวัด....แต่หลวงพ่อท่านสังขราไม่่ไหว จึงให้ออกจำหน่าย วัตถุมงคลบางส่วนในช่วงต้น เดือนมกราคม ปี2536และท่านก็รับแขกนั่งพูดคุยอยู่ด้วยได้ไม่นาน เช่นดังก่อน สุขภาพไม่ดี
    ภายหลังจากนั้นไม่นาน อาการหลวงพ่อทรุดหนัก และมรณะภาพลงด้วยอาการ
    สงบ ที่ รพ สิงห์บุรีเวชการ ในวันที่26 กุมภาพันธ์ 2536 สิริอายุ 76 พรรษา.

    FB_IMG_1751040376598.jpg
    ภาพเจิม พระหล่อรูปเหมือน ขนาดเท่าองค์จริง
    หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม(วัดบ้านแค)..ผมว่าหลายคนไม่เคยเห็นและไม่เคยรู้ พระองค์ที่กำลังเจิม คือหลวงพ่อป่วน วัดโพธิ์งาม องค์ที่ถือบาตรน้ำมนต์ หลังปะน้ำพุทธมนต์เสร็จ คือ หลวงพ่อเชื้อ วัดใหม่บำเพ็ญบุญ ..
    ..
    งงกันละสิ ภาพถ่ายนี้ ถ่ายในพิธีนี้ปี 2523. หลังจากหลวงพ่อกวย ละสังขารได้ครบปี ..จึงได้มีการเบิกเนตร และนิมนต์ พระเถระเกจิ ที่เป็นศิษย์ร่วมสำนักของหลวงพ่อกวย และเป็นพระเกจิ ที่ไปมาหาสู่กัน นับถือกัน ครั้งนั้น มีหลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่มอีกองค์...เหตุที่หลวงพ่อจวนไม่ได้ขึ้นมา คือสวดชะยันโตให้อยู่ และหลวงพ่อป่วนกับหลวงพ่อเชื้อ มีพรรษาแก่กว่า ถึงจะมียศศักดิ์พระครูเหมือนกันก็ตาม.
    ..
    ภาพนี้ถือเป็นภาพประวัติศาสตร์ อีกภาพหนึ่ง ผมเองสมัยเมื่อ10กว่าปีที่แล้ว คนที่เล่าให้ผมฟังคือ ลุงเกาะ ข้องหลิม แกคือผู้ที่ติดตามหลวงพ่อป่วน ในสมัยนั้น.
    แก่เสียไปเมื่อ สองอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมกลับไปอยู่.
    แก่เล่าให้สมัยก่อน หากมีกิจสำคัญ หลวงพ่อกวยจะไปไหนหลายวัน หรือมีช่วงที่หลวงพ่อไม่สบาย ช่วงปี 20-21 หลวงพ่อกวย จะเอากุญแจ กุฎิท่าน มาฝากกับหลวงพ่อป่วน เพราะไว้ใจหลวงพ่อป่วน หลวงพ่อกวยเรียกหลวงพ่อป่วนว่า พระครู แต่หลวงพ่อป่วนเรียกหลวงพ่อกวย ว่าหลวงพี่ หลวงพ่อกวยเป็นพระอธิการ ส่วนหลวงพ่อป่วน เป็นเจ้าคณะตำบลสมัยนั้น
    ..
    หลวงพ่อกวยกราบหลวงพ่อป่วนเวลาไปงาน แต่หลวงพ่อป่วนก็กราบหลวงพ่อกวยตอบ..เคารพกันเสมอมา..
    .
    ส่วนที่ผมบอกว่าหลวงพ่อเชื้อถือบาตรน้ำมนต์ ผมพิจารณามาพอสมควร จึงกล่าวได้เต็มปาก..ทรงหน้า หูตา ใฝ่ จมูก ชัดเจน เป็นหลวงพ่อเชื้อแน่ๆ หลวงพ่อเชื้อ กับหลวงพ่อป่วน มีลักษณะสูงโปร่ง พอๆกัน ตรงชัดเจนครับ..
    ..
    หลวงพ่อป่วนก็รู้จักหลวงพ่อเชื้อดี อาจเป็นศิษย์สำนักเดียวกันด้วย ดูจากรอยสัก แขนขวา เหมือนกัน พ่อกวย พ่อเชื้อ พ่อป่วน แต่ด้วยความเป็นพื้นที่ปกครอง สมัยนั้น บางขุด ดงคอน หลวงพ่อป่วนคุมจึง เป็นพระผู้เบิกเนตรเจิม พระหล่อรูปเหมือนหลวงพ่อกวย ในมณฑปหลังเก่า แต่จริงก็ไม่ได้ยกไปไหน แต่ที่เห็นคือสร้างเติมขยายใหม่ ดังที่เราเห็นในปัจจุบัน.. ที่ไปกราบกันทุกวันนี้.
    ..
    ข้อมูลนี้หากเกิดประโยชน์แก่ผู้อ่านได้รับรู้ถึงความเป็นมา หากได้บุญกุศล
    ขอบุญนี้จงเกิดแก่ นายสมพร ข้องหลิม(ลุงเกาะ) ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ผู้ที่เล่าประวัติให้ผมฟังครับ..
    ..
    .หากสิ่งที่กล่าวที่เขียนไป ผิดพลาดประการใด ผมขอรับผิดไว้แต่เพียงผู้เดียว....
    ..แชมป์ Chatchai Intano ...ขอบคุณครับ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลขึ้นมาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จเนื้อผงใบลานหลวงพ่อป่วนวัดโพธิ์งาม

    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250627_232554.jpg IMG_20250627_232621.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2025 at 23:49
  9. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    8,182
    ค่าพลัง:
    +7,227
    ขอจองครับ
     
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,320
    ค่าพลัง:
    +21,398
    FB_IMG_1751098876272.jpg FB_IMG_1751098562813.jpg

    หลวงปู่วรพรต_เหยียบรถกระดก” จ.ขอนแก่น
    ผู้มีธาตุขันธ์ กาย สังขาร เป็น มรกต หนึ่งเดียวใน โลก
    ประวัติ หลวงปู่วรพรตวิธาน.. นามเดิม ท่านชื่อ “พันธ์ ทับงาม” เกิดวันพุธที่ 1 ธันวาคม 2444 ที่บ้านน้ำอ้อม อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด
    (ที่จริงแล้วท่านเกิดในปี พ.ศ 2437 แต่แจ้ง วันเกิดช้ากว่ากำหนดโดยวันเดือนเกิดไม่ทราบแน่ชัด) บิดาชื่อ พ่อศิลา มารดาชื่อ แม่ทอง ทับงาม ชีวิตเยาว์วัยท่านเป็นคนเรียนหนังสือเก่งมาก จนขุนเกษตรวิสัยเจ้าเมืองร้อยเอ็ดเอาไปรับราชการเป็นเสมียนประจำตัวท่าน รับราชการจนอายุได้ 16 ปี จึงลาบวชเป็นสามเณร ณ.วัดบ้านน้ำอ้อม จนอายุได้ 21 ปี จึงได้อุปสมบทเป็นพระต่อโดยมีพระครูธรรมสังฆบาลเป็นพระอุปัชณาย์มีฉายาว่า “ติสโส” ท่านเป็นพระหนุ่มที่เรียนหนังสือเก่งมากท่องปฏิโมกข์ได้ตั้งแต่พรรษาแรก และปี พ.ศ 2472 หลวงปู่ ท่านสอบนักธรรมชั้นเอกได้ ในปีนั้นหลวงปู่สอบนักธรรมเอกได้เพียงองรูปเดียวเท่านั้นทั่วมณฑลร้อยเอ็ด
    (รวมกาฬสินและมหาสารคามด้วย) จนได้รับรูปท่านเจ้าคุณพระโพธิวาศจารย์แม่กองธรรมอุบลเป็นรางวัล
    หลวงปู่ได้มาเรียนเทศนากับท่านเจ้าคุณกัณหา ณ วัด หนองทุ่ม อ.พล จ.ขอนแก่น (เจ้าคุณกัณหาเจ้าคณะ จังหวัดขอนแก่น ในสมัยนั้น พ.ศ 2473) ปี พ.ศ 2475 บ้านเมืองได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเจ้าคุณกัณหาจึงได้ส่งหลวงปู่วรพรตมาเป็นเจ้าอาวาสวัดจุมพล บ้านก้านเหลือง อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น อายุการสร้างวัดจุมพล ประมาณ 150 ปี ในสมัยรัชกาลที่ 5
    พ.ศ 2480 หลวงปู่ได้สร้าง อุโบสถขึ้นมาใหม่ เสร็จเอาปี พ.ศ 2483 ค่าก่อสร้างเป็นเงิน 2,500 บาท ปูนชีเมนต์สมัยนั้นถุงละ 1.50 บาท ปี พ.ศ. 2482 หลวงปู่ได้ขอพระราชทาน พระปรมาภิไธย์ย่อ
    ของรัชการที่ 8 แต่พระองค์ท่านได้พระราชทานเหรียญพระฉายาลักษณ์ของท่านให้หลวงปู่วรพรต หลวงปู่ท่านเอาเหรียญนั้นติดไว้หน้าพระอุโบสถต่อจากนั้นมาหลวงปู่ก็ได้พัฒนาวัดจุมพลมาเรื่อยๆ ตลอดจนวัดต่างๆ ในอำเภอแวงน้อย และอำเภอพล (แต่ก่อนอำเภอแวงน้อยเป็นตำบล ขึ้นอยู่กับอำเภอพล) ในการสร้างพระอุโบสถและกุฎิ รวมทั้งศาลาการเปรียญ รวมทั้งสิ้น ประมาณ 30 หลัง ต่อมาในปี พ.ศ. 2518 ได้มีการขยายการปกครองออกไปอีก ทางการจึงตั้งตำบลแวงน้อยขึ้นเป็นอำเภอแวงน้อย หลวงปู่วรพรตวิธานจึงได้เป็นเจ้าคณะอำเภอแวงน้อยรูปแรก
    หลวงปู่ท่านเป็นผู้มีวิชาอาคมขลังมาก ได้เรียนวิชาอาคมมาจาก 5 อาจารย์ด้วยกัน เช่น หลวงศรีธรรมศาสตร์ อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม หลวงปู่ศึกษาวิชาไสยศาสตร์ จากอาจารย์ครีธรรมศาสตร์ จนเรียนจบเรียบร้อยแล้วก็ได้เดินทางไปศึกษาวิชาอาคมจาก พระอาจารย์ขันวัดท่าสะแบง ต.มะบ้า อ.ธวัชบุรี จ. ร้อยเอ็ด พระอาจารย์ขันวัดท่าสะแบงนี้ท่านเป็นผู้มีวิชาอาคมรูปหนึ่งในภาคอีสานในสมัยนั้น ไม่ว่าจะเป็นวิชาอาคมทางด้านเมตตามหานิยม, คงกระพันชาตรี, แคล้วคลาด, มหาอุต ป้องกันขับไล่ คุณไสย คุณผี คุณคน หลวงปู่วรพรตท่าน ก็ได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมจากพระอาจารย์ขันจนหมดสิ้น แล้วหลวงปู่ก็ได้ไปศึกษากับ
    พระอาจารย์ โส วัดบ้านฟ้าเหลี่ยม อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด เกจิอาจารย์ดังองค์หนึ่ง ในสมัยนั้น ขนาดท่านปัสสาวะรดต้นไม้ เอาปืนยิงต้นไม้ ยังยิงไม่ออกแต่ก็ยังไม่พอความต้องการของหลวงปู่ หลังจากนั้นท่านก็ได้มุ่งหน้าไปศึกษากับ
    หลวงปู่ชม ฐานธัมโม แห่งวัดกู่ พระโกนา อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของท่าน หลวงปู่ชมรูปนี้ท่านมีวิชาอาคมแก่กล้าสามารถ
    มาก มีอิทธิปาฏิหาริย์นานัปการ ท่านสามารถ ล่องหนหายตัวได้ หลวงปู่ชมท่านได้สร้าง วัดขึ้นบริเวณใกล้กับกู่โกนา อยู่ทางจะไป อ. ท่าตูม จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นเส้นทางที่จะมุ้งไปเขมรต่ำ
    (ประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน) หลวงปู่ท่านได้ศึกษาวิชาอาคมและวิปัสนากัมมัฏฐาน อยู่ 2 ปี เมื่อ พ.ศ. 2479 ท่านได้กราบลาหลวงปู่ชม ออกมุ่งหน้ามายัง จ. ขอนแก่น เพื่อกับวัดจุมพล ของท่าน
    หลังจากที่ท่านได้เล่าเรียนวิชาอาคมจากพระอาจารย์ ต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ได้ออกเดินธุดงค์ไปกับหลวงพ่อผาง จิตฺตคุตฺโต และได้แยกทางกันที่ อ. มัญจาคีรี จากนั้นหลวงปู่วรพรตท่านก็ได้เดินผ่านดงพญาเย็น-พญาไฟ ผ่านไปประเทศลาว พม่า เขมร เรื่องราวตอนที่ท่านเดินธุดงค์ ไปนั้นมีมากมาย ผจญทั้งสัตว์ร้ายและภูตผีปีศาจ แต่ท่านก็ผ่านอุปสรรคนั้นมาได้
    หลวงปู่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ในสมัยรัชการที่ 8 มีพระราชทินนามว่า “พระครูวรพรตวิธาน” เราจึงเรียกติดปากว่า “หลวงปู่วรพรต” ตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่ได้แสดงปาฏิหาริย์ให้ปรากฏแก่สายตาของผู้คนเป็นครั้งแรก ก็คือ

    เรื่องหลวงปู่เหยีบรถกระดก (ลอยขึ้น) เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ 2503 หลวงปู่จะออกเดินทางจาก อ. พล จ. ขอนแก่น ด้วยรถโดยสารเพื่อจะไป จ.ร้อยเอ็ด รถคันที่หลวงปู่จะขึ้นเป็นรถสองแถวขนาดใหญ่ ตามธรรมดาโดยทั่วไปแล้วพระเณรจะต้องนั่งด้านหน้าติดกับคนขับ เพื่อจะได้ไม่ปะปนกับผู้โดยสารคนอื่น แต่รถคันนี้มีผู้หญิงนั่งเต็มอยู่ด้านหน้าแล้ว ด้านหลังรถยังพอมีที่นั่งได้ คนขับรถจึงบอกให้หลวงปู่ขึ้นทางท้ายรถ หลวงปู่ก็ได้ปฏิบัติตามโดยดี แต่ก่อนจะขึ้นรถหลวงปู่ได้พูดกับคนขับรถว่า “รถจะไม่เดี่ยง หรือ
    ”(เดี่ยงเป็นภาษาไทยอีสานแปลว่า “ กระดก”) คนขับก็บอกว่า “ไม่เดี่ยงแน่เพราะรถรับน้ำหนักได้หลายตัน” พอคนขับพูดจบ หลวงปู่ก็ก้าวเท้าขึ้นรถ ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นทันที ด้านหน้ารถลอยขึ้น เหมือนมีมือยักษ์มาจับยกขึ้น คนขับรถเห็นเช่นนั้น ถึงกับตกตะลึงจึงกราบนิมนต์หลวงปู่มานั่ง ด้านหน้า โดยให้พวกผู้หญิงไปนั่งด้านหลัง ตั้งแต่นั้นมา สมญานาม
    “หลวงปู่วรพรตเหยียบรถเดี่ยง”
    จึงเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นในเขตขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา ต่างก็รู้เรื่องกันดี เคยมีญาติโยมที่อยู่ไกลถึง จ. กระบี่ เดินทาง มากราบขอคาถาเหยียบรถกระดกจากท่าน ท่านก็มอบคาถานะโมพุทธายะให้ไป แต่จะทำได้เหมือนหลวงปู่ หรือ เปล่าไม่ทราบ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของระบบทางข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จมหาอุตย์หลวงปู่วรพต

    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250627_124210.jpg IMG_20250627_124241.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2025 at 14:35
  11. SIR2010

    SIR2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    3,013
    ค่าพลัง:
    +5,715
    จองครับ
     
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,320
    ค่าพลัง:
    +21,398
    FB_IMG_1751195115194.jpg

    หลวงปู่เม้า พลวิริโย วัดสี่เหลี่ยม อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ท่านเป็นเกจิอาจารย์ที่มีอายุยืนยาวถึง 102ปี บารมีแก่กล้า วาจาศักด์สิทธิ์(ในปากท่านเป็นลิ้นดำ)เป็นพระอริยสงฆ์ที่มีเมตตาธรรมขั้นสูงสุด ที่รู้อดีตปัจจุบันและอนาคต ท่านเป็นพระวัดบ้านป่าที่คนระดับหม่อมราชวงค์และนายกรัฐมนตรี ให้ความเคารพนับถือ พระดังๆทั่วประเทศมีมากมาย แม้แต่พลเอก กฤษณ์ ศรีวราห์(ผบทบ.สมัยนั้น) และนายกรัฐมนตรี นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ยังเลือกที่จะนิมนต์พระป่าอย่างหลวงปู่เม้า ลงไปช่วยปัดเป่าทุกข์ภัยที่ทำเนียบให้แก่บ้านเมืองมีพระอุปัชฌาย์คือ หลวงพ่อเพียร วัดถนนหัก และเคยออกธุดงค์กับหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย...เป็นพระที่มีศีลบริสุทธิ์และเรืองวิทยามีทยานจิตสูง ท่านครองผ้าเหลืองตั้งแต่เป็นเณรด้วยจริยาวัตรที่หมดจดงดงาม ไม่บกพร่องด่างพร้อยแต่ประการใด อีกทั้งเป็นพระเถระที่มีความเชี่ยวชาญในวิทยาคม และเคร่งครัดในการวิปัสสนากรรมฐานที่สูงอีกรูปหนึ่ง ด้วยชื่อเสียงกิติศักดิ์เป็นที่เลื่องลือในหมู่ชนทุกๆถิ่นฐานท่าน จอมพล ป.พิบูลย์สงคราม ท่านได้เดินทางมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่เม้า และเลื่อมใสเคารพศรัธานับถือ หลวงปู่เม้ามากท่านจอมพล ป.ได้สร้างพระถวายหลวงปู่เม้าด้วย เมื่อตอนท่านมีอายุครบ 100 ปี ท่านก็ยังเดินได้คล่องไม่แพ้คนหนุ่ม ซึ่งนับว่าท่านเป็นพระเถระที่มีอายุยืนและมีวาสนามาก
    หลวงปู่เม้าพลวิริโย
    วัดสี่เหลี่ยม อ.นางรองจ.บุรีรัมย์ ท่านเป็นเกจิอาจารย์ที่มีอายุยืนยาวถึง102ปีบารมีแก่กล้า วาจาศักดิ์สิทธิ์(ในปากท่านเป็นลิ้นดำ)เป็นพระอริยสงฆ์ที่มีเมตตาธรรมขั้นสูงสุดที่รู้อดีตปัจจุบันและอนาคตท่านเป็นพระวัดบ้านป่าที่คนระดับหม่อมราชวงค์ และนายกรัฐมนตรีให้ความเคารพนับถือพระดังๆทั่ว
    ประเทศมีมากมายแม้แต่
    พลเอกกฤษณ์ ศรีวราห์
    (ผบทบ.สมัยนั้น) และนายกรัฐมนตรี นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ยังเลือกที่จะนิมนต์พระบำอย่างหลวงปู่เม้าลงไปช่วยปัดเป้าทุกข์ภัยทำเนียบ ให้แก่บ้านเมือง มีพระอุปัชฌาย์คือหลวงพ่อเพียร วัดถนนหักและเคยออกธุดงค์กับหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย...เป็นพระที่มีศีล
    บริสุทธิ์และเรืองวิทยามีทยานจิตสูง ท่านครองผ้าเหลืองตั้งแต่เป็นเณรด้วยจริยาวัตรที่หมดจดงดงาม ไม่บกพร่องด่างพร้อยแต่ประการใด อีก
    ทั้งเป็นพระเถระที่มี ความเชี่ยวชาญในวิทยาคมและเคร่งครัดในการวิปัสสนากรรมฐานที่สูงอีกรูปหนึ่ง ด้วยชื่อเสียงกิติศักดิ์เป็นที่เลื่องลือในหมู่ ชนทุกๆถิ่นฐานท่าน
    จอมพลป.พิบูลย์สงคราม
    ท่านได้เดินทางมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่เม้า
    และเลื่อมใสเคารพศรัธานับถือ หลวงปู่เม้ามาก
    ท่านจอมพล ป.ได้สร้างพระถวายหลวงปู่เม้าด้วยเมื่อตอนท่านมีอายุครบ 100 ปี ท่านก็ยังเดินได้คล่องไม่แพ้คนหนุ่ม ซึ่งนับว่าท่านเป็นพระเถระที่....
    ประวัติ หลวงปู่เม้า วัดสี่เหลี่ยม (บุรีรัมย์)
    คร่าวๆพอสังเขปครับ หลวงปู่เม้า ท่านถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ปี พ.ศ.๒๔๑๗ หลวงปู่ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ ๑๓ปี เมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๐ ครั้นเมื่ออายุครบบวช ท่านจึงอุปสมบท มีหลวงพ่อเพียร วัดถนนหักเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ฉายาว่า "พลวิริโย" เมื่อหลวงปู่ท่านอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ ท่านถือการธุดงควัตรเป็นนิจสิน ท่านได้เดินออกธุดงค์ไปจังหวัดต่างๆ ในพื้นที่แถบภาคอีสานเป็นเวลานานหลายสิบปี
    หลวงปู่เม้า ท่านได้รับการศึกษาจากพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังต่างๆในยุคนั้นมากมายโดยเฉพาะวิชาวิปัสสนากัมมัฏฐานจาก พระอาจารย์เพียร ซึ่งเป็นที่ยอมรับของพระอาจารย์เพียร ท่านเป็นยอดในวิชาวิปัสสนากัมมัฏฐาน และยังได้ศึกษาเพิ่มเติมจากพระอาจารย์อื่นๆอีกมาก เช่น พระอาจารย์ครุฑ พระอาจารย์นิล พระอาจารย์ดา และพระอาจารย์เสาร์ เป็นต้น นับว่าหลวงปู่เม้าได้รับการประสิทธ์ประสาทวิชาจากพระอุปัชฌาย์ที่มีชื่อเสียงมากมาย
    หลวงปู่เม้าท่านไม่เคยเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยหรือประโยชน์ส่วนตัวเลย ท่านได้ทำนุบำรุงสร้างความเจริญให้กับวัดอารามต่างๆถึง ๖ วัด คือ วัดใหม่เรไร่ทอง ,วัดบ้านถนนหัก ,วัดบ้านตะโก ,วัดสังเวทกิริญาวาส ,วัดบ้านหนองยายพิม และวัดสี่เหลี่ยม
    ซึ่งท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดสี่เหลี่ยมอยู่ในช่วงนั้น ด้วยในจำนวนวัดที่กล่าวมานี้ท่านเป็นเจ้าอาวาสเองถึงสี่วัดมาแล้วจึงกล่าวได้ว่าท่านเป็นพระอาจารย์ที่น่าเคารพนับถือมากในยุคนี้อีกท่านหนึ่ง การจัดสร้างพระอุโบสถที่วัดสี่เหลี่ยมนี้ซึ่งก็เป็นการยากที่จะให้สำเร็จลุล่วงไปโดยลำพัง จึงได้สร้างสิ่งมงคลต่างๆขึ้นเพื่อหาปัจจัยมาเป็นทุนทรัพย์ในการสร้างพระอุโบสถ ไว้เป็นที่ระลึกและท่านที่ต้องการมีไว้เพื่อเป็นสิริมงคลและแค้วคลาด จากภัยอันตรายต่างๆ อีกทั้งจะได้ทำบุญร่วมในการสร้างพระอุโบสถนี้อีกด้วย ในการก่อสร้างพระอุโบสถ หลวงปู่ท่านจึงได้สร้างสิ่งมงคลขึ้นโดยมี (พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร) ได้ทรงเป็นองค์ประธานจัดงาน
    และด้วยบุญญาธิการที่เปี่ยมล้นในคืนที่ท่านจะปลุกเสกเหรียญได้เกิดเหตุการณ์จันทรุปราคาขึ้น ในโบราณกาลถือว่าเป็นฤกษ์ดีที่สุดในการปลุกเสกเครื่องรางของขลังต่างๆ และพอท่านนั่งปรกปลุกเสกเหรียญดังกล่าว เกิดเหตุการณ์ฝนตกลงมาอย่างน่าอัศจรรย์ ท่ามกลางพระสงฆ์สามเณรและสาธุชนจำนวนมาก ซึ่งเป็นฝนที่ไม่ได้ตั้งเค้ามาก่อน อีกทั้งยังเป็นช่วงหน้าแล้งมาก และเมื่อหลวงปู่ เม้าปลุกเสกเหรียญแล้ว พื้นที่ใน อ.นางรอง ได้เกิดฝนตกลงมาอย่างหนัก เพียงพอกับการต่ออายุพืชผลเกษตร สวนทางกับพื้นที่เขตอำเภอใกล้เคียงและจังหวัดอื่นในภาคอีสานกับแล้งขาดแคลนน้ำอย่างหนัก ด้วยปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น จึงทำให้ศิษยานุศิษย์ของท่านทั้งหลายได้ตื่นตากับเหตุการณ์นั้น
    จากความที่ท่านเป็นพระผู้ที่มีความเมตตาต่อลูกศิษย์ลูกหาทุกคน โดยไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ ไม่ว่าจะยากดีมีจนท่านก็ให้ความเสมอภาคเท่ากันหมด ลูกศิษย์ต่างๆ ของท่านทั่วทุกสารทิศในประเทศไทย จึงได้ร่วมจิตร่วมใจกันจัดองค์ผ้าป่าและกฐินนำติดตามไปทอดยังวัดต่างๆ ที่หลวงปู่เม้ากำลังพัฒนาอยู่ทุกแห่ง เพื่อเป็นการสนองพระคุณที่ท่านมีต่อลูกศิษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ญาติโยมที่เดินทางไกลไปนมัสการท่าน หลวงปู่เม้าก็ให้เข้าพบโดยมีได้รังเกียจกีดกันใดๆแม้แต่น้อย โดยที่ท่านมีเมตตาต่อญาติโยมที่ต้องเดินทางมาไกลท่านก็จะช่วยปัดเป่าความเดือดร้อนให้เขาเหล่านั้นได้สมความหวังที่ตั้งใจไว้ หลวงปู่เม้าจะรดน้ำพระพุทธมนต์ให้อยู่เย็นเป็นสุข และยังมอบเครื่องรางของขลังให้ไว้บูชา เพื่อสนองความศรัทธาทุกคนที่มีต่อหลวงปู่เม้า
    เมื่อสมัยสงครามอินโดจีนเกือบทุกท่านคงทราบถึงความขลังของอาคม ที่หลวงปู่เม้าท่านได้ปลุกเสกวัตถุมงคลต่างๆ โดยเฉพาะผ้ายันต์และตะกรุดโทนอันลือชื่อ บรรดาทหารหาญที่ได้รับผ้ายันต์หรือตะกรุดโทนทุกๆท่านต่างได้รับความปลอดภัย แคล้วคลาดจากภัยในสมรภูมิได้ทุกท่านราวปฎิหาริย์เมื่อ ท่านจอมพล ป.พิบูลย์สงคราม ท่านทราบข่าวถึงความปลอดภัยแคล้วคลาดจากภัยอันตรายต่างๆอย่างน่าอัศจรรย์ กิติศักดิ์เป็นที่เลื่องลือ ในหมู่ชนทุกๆถิ่นฐาน จอมพล ป.พิบูลย์สงคราม ถึงกับฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่และเลื่อมใสนับถือหลวงปู่เม้าเป็นอย่างมาก
    หลวง ปู่เม้า วัดสี่เหลี่ยม บุรีรัมย์ เป็นหนึ่งในพระเกจิที่มีอายุ ๑๐๒ปี ของอีสาน เหรียญรุ่นแรกของหลวงปู่เม้า สร้างปี พ.ศ.๒๕๑๗ เมื่ออายุครบ ๑๐๐ปี ตอนสร้างออกมาใหม่ๆได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงมากๆในสมัยนั้น ถ้าพูดถึงวิชาอาคมความขลัง เชื่อว่าหลวงปู่เม้า ไม่เป็นสองรองใครในยุคนั้น เนื่องจากพระเครื่องของท่านสร้างน้อยมีไม่กี่รุ่น จึงทำให้วัตถุมงคลของท่านหาชมได้ยากนัก
    วัตถุมงคลอีกหนึ่งที่ลูกศิษย์เสาะหากันมากของท่าน คือ หนุมานหล่อโบราณบรรจุกริ่ง สร้างปี พ.ศ.๒๕๑๗ เนื้อสำริดทองแดงเถื่อน ขึ้นทำเนียบเครื่องรางยอดนิยมไปแล้ว ท่านปลุกเสกหนุมานแบบรู้จริง ดีจริงทรงฤทธิ์จริง ตามตำราวิชาโบราณ และมีหนุมานตนแม่ตนครูที่บูชาอยู่บนเขาพนมรุ้ง พุทธคุณเน้นด้านเมตตา การงานเจริญก้าวหน้ารุ่งเรือง มีโชคลาภ วาสนา แคล้วคลาดปลอดภัย นิรันตราย
    หลวงปู่เม้าท่านเป็นเกจิอาจารย์ที่เรืองวิทยาคม มีญานจิตสูงรูปหนึ่ง บารมีแก่กล้า วาจาศักด์สิทธิ์ (ในปากท่านเป็นลิ้นดำ)เป็นพระอริยสงฆ์ที่มีเมตตาธรรมขั้นสูงสุด ที่รู้อดีตปัจจุบันและอนาคต ท่านเป็นพระวัดบ้านป่าที่คนระดับหม่อมราชวงค์ และ นายกรัฐมนตรี ให้ความเคารพนับถือ พระดังๆทั่วประเทศมีมากมายแต่นายกรัฐมนตรีสัญญาธรรมศักดิ์ เลือกที่จะนิมนต์พระป่าอย่างหลวงปู่เม้าลงไปช่วยปัดเป่าทุกข์ภัย ที่ทำเนียบให้แก่บ้านเมือง และท่านเคยออกธุดงค์กับหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ยด้วย หลวงปู่ท่าน ได้เข้ามาอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์เมื่ออายุได้เพียง ๑๓ ปี จนถึงกาลที่ท่านมรณะภาพท่านมีอายุ ๑๐๒ ปี นับได้ว่าท่านเป็นพระอาจารย์ที่บวชพรรษาสูงที่สุดในยุคนั้น
    หลวงปู่เม้า พลวิริโย ท่านถึงแก่มรณภาพลงเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๙ สิริอายุรวม ๑๐๒ ปี ๘๒ พรรษา
    เครดิตและเรียบเรียงโดย: เพจ พระเกจิ แดนสยาม ขออนุญาตทางเพจด้วยครับ ขออนุญาตนำข้อมูลนี้มาเพื่อการศึกษาและร่วมเป็นส่วนหนึ่งเพื่อเผยแพร่บารมีหลวงปู่ครับ และ ขอบคุณ เพจ พระเกจิ แดนสยาม ด้วยครับผม
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จหลวงปู่เม้าวัดสี่เหลี่ยม ผลิกชะตา ปี๒๕๑๗

    ให้บูชา 550 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20250629_184721.jpg IMG_20250629_184758.jpg
     
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,320
    ค่าพลัง:
    +21,398
    FB_IMG_1751223021822.jpg

    พระครูวรวุฒิคุณ” หรือ “หลวงปู่ครูบาอิน อินโท” หรือ “ครูบาฟ้าหลั่ง-ฟ้าลั่น” อมตะมหาเถราจารย์แห่งนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ ผู้สูงยิ่งด้วยศีล จริยาวัตร และพุทธาคม เชี่ยวชาญสรรพวิชาตามตำราโบราณล้านนา จนเป็นที่ประจักษ์ทั่วไป ดังคำกล่าวของบรรดาพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่ว่า
    “ขอเธอจงไปกราบครูบาอินที่เชียงใหม่และขอศึกษาวิชาจากท่านให้ดีๆ เถิด ท่านเป็นพระผู้เก่งกล้าสามารถมากจริงๆ” เป็นคำกล่าวของหลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร วัดโฆสิตาราม บ้านบ้านเเค ตำบลบางขุด อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท
    “ดีอยู่แล้ว ดีอยู่แล้ว พระของครูบาอิน ไม่ต้องเสกอะไรอีกแล้ว” เป็นคำกล่าวของหลวงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง
    “จิตของครูบาอิน ประภัสสรยิ่งแล้ว” เป็นคำกล่าวของหลวงพ่อชม วัดโป่ง จังหวัดชลบุรี
    “ครูบาอิน ท่านมีจิตมีจิตบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งเลยทีเดียว” เป็นคำกล่าวของครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา (ครูบาวงศ์) วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ตำบลนาทราย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน
    “หลวงปู่ครูบาอิน วัดฟ้าหลั่งนั้น ดีที่หนึ่งเลย” เป็นคำกล่าวของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง ตำบลบ้านถ้ำ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
    “ครูบาอินท่านเป็นพระสุปฏิปันโน ผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบนะ” เป็นคำกล่าวของหลวงพ่อดาบส สุมโน อาศรมไผ่มรกต บ้านลูกกลอน ตำบลป่าอ้อดอนชัย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
    ครูบาอิน อินโท
    อภิญญาอภินิหารพลังจิตตานุภาพ
    ของอมตะพระเถราจารย์เจ้าแห่งแผ่นดินล้านนา
    ในแวดวงผู้นิยมของขลังและวัตถุมงคล เรื่องที่เล่าสู่กันฟังก็คงหนีไม่พ้น อภินิหารหรือประสบการณ์วัตถุมงคลของครูบาอาจารย์ที่ตนเองเคารพนับถือ สำหรับพระครูวรวุฒิคุณ หรือ หลวงปู่ครูบาอิน อินฺโทเองก็เช่นกัน มีเรื่องราวประสบการณ์เกี่ยวกับองค์หลวงปู่และวัตถุมงคลของท่านที่เล่าสู่กันฟังอยู่อย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ก็เป็นความเชื่อ ความเคารพศรัทธาส่วนบุคคล นำมาเผยแพร่เพื่อเป็นการลำลึกถึงเมตตาบารมีขององค์หลวงปู่ครูบาอิน โดยมิได้มุ่งหวังให้เกิดความเชื่อ ความเข้าใจที่ผิดๆ เกี่ยวกับอภิญญาอภินิหารในวัตถุมงคลของหลวงปู่ครูบาอินแต่อย่างใด
    ผู้ที่อยู่ในวงการพระ ต้องเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับพระเครื่องไม่ด้วยตนเอง ก็ฟังคนอื่นเขาเล่ามาอีกที ความเชื่อในเรื่องพระเครื่องบางครั้งอาจเป็นจุดกำเนิดให้ คนๆ หนึ่ง หันมาเก็บพระเครื่อง พระบูชา จนบางคนผันตัวเองไปเป็นนักนิยมพระ นักพระเครื่องตัวยงเลยก็มี ส่วนใหญ่ก็ด้วยความเชื่อแทบทั้งนั้น เรื่อราวอภินิหารมีอยู่คู่แผงพระด้วยเหตุนี้ทุกครั้งที่ฟังก็ต้องตั้งใจฟัง เอาสติเป็นตัวตัดสิน ว่ามีความเป็นจริงมากน้อยเพียงไร แล้วสิ่งที่เราได้รับรู้เหล่านั้น มีผลต่อการปฏิบัติดีปฏิบัติถูกของเราหรือไม่อย่างไร อย่าลืมว่า พระเครื่องวัตถุมงคลจะคุ้มกันหรือเอื้อผลในทางที่ดีต่อผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเท่านั้น
    สังเขปประวัติหลวงปู่
    พระครูวรวุฒิคุณ หรือ หลวงปู่ครูบาอิน อินโท (ครูบาฟ้าหลั่ง) มีชื่อเดิมว่า อิน เป็นบุตรของพ่อหนุ่ม แม่คำป้อ เขียวคำสุข ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๔๖ (ตรงกับวันเสาร์ แรม ๕ ค่ำ เดือน ๓ เหนือ ปีเถาะ) ณ บ้านทุ่งปุย ตำบลยางคาม อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ หลวงปู่ครูบาอิน สืบเชื้อสายชาวลั๊วะจากผู้เป็นพ่อ ซึ่งเป็นกลุ่มชนส่วนใหญ่ของบ้านทุ่งปุยในขณะนั้น (ปัจจุบันอยู่ในเขต ตำบลสันติสุข อำเภอดอยหล่อ) ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ (ปีที่ครองราชย์ พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๕๓) โดยเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ในขณะนั้นคือ เจ้าอินทรวโรรสสุริยวงษ์ (ครองเมืองเชียงใหม่ พ.ศ.๒๔๔๔-๒๔๕๒ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๕ คนด้วยกัน ครอบครัวของท่านมีอาชีพทำนา ทำไร่
    เมื่อสิ้นบุญพ่อหนุ่ม ครูบาอินท่านได้มาเป็นเด็กวัดทุ่งปุย และได้ บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๔๖๐ อายุได้ ๑๔ ปี โดยมีเจ้าอธิการยศ (ครูบามหายศ) เป็นพระอุปัชฌาย์ ที่วัดทุ่งปุยและ เมื่ออายุ ๒๐ ปี ท่านก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พันธสีมาวัดป่าลาน ตำบลยางคราม เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๖๖ เวลา ๑๐.๐๐ น. อายุได้ ๒๐ ปี บริบูรณ์ ฉายาในตอนนั้นคือ พระอิน อินโท โดยมีครูบามหายศ วัดท่าวังพร้าว เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการกว้าง วัดสองแคว เป็นพระกรรมวาจารย์ และมีพระอธิการอ้าย วัดทุ่งปุย เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่ออุปสมบทแล้วก็ได้เล่าเรียนศึกษาปฏิบัติกรรมฐานกับครูบามหายศ จนต่อมาเมื่อตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดทุ่งปุยว่างลง ท่านก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดทุ่งปุย พ.ศ. ๒๔๘๕ และดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตำบลยางคราม พ.ศ. ๒๔๙๔ ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌายะ พ.ศ. ๒๔๙๖
    ปีพ.ศ. ๒๕๐๕ ท่านได้รับนิมนต์มาเป็นประธานสร้างโรงเรียนวัดฟ้าหลั่ง และได้เป็นประธานบูรณะวัดร้างฟ้าหลั่งให้เจริญรุ่งเรือง มีเสนาสนะเป็นทีปฏิบัติศีลปฏิบัติธรรมของบรรดาศรัทธาญาติโยม จนได้รับพระราชทานแต่งตั้งเป็นพระครูสัญญาบัตรที่ “พระครูวรวุฒิคุณ”
    หลวงปู่ครูบาอิน เป็นพระสุปฎิปันโนโดยแท้ ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ มีสีลา จาระวัตร เป็นที่หน้าเลื้อมใสเป็นอย่างยิ่งแก่ศรัทธาประชาชนที่ได้เข้าสักการะกราบไหว้ แล้วจะอบอุ่นสบายใจ เป็นที่สุดจากคำบอกเล่าของบุคคลที่เข้านมัสการท่าน อีกทั้งท่านยังเชี่ยวชาญในสรรพวิชาพุทธาคม ซึ่งท่านก็ได้เมตตาปัดเป่าทุกข์ ให้แก่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาและผู้เคารพสักการะที่เดินทางมากราบนมัสการท่านอยู่เสมอ

    นกระทั่งในปี พ.ศ.๒๕๔๓ ในวัยร่วมร้อยปี ท่านจึงเดินทางกลับมาพำนักที่วัดคันธาวาส (ทุ่งปุย) และเป็นกำลังสำคัญในการบูรณะ สร้างเสนาสนะให้แก่วัดทุ่งปุยโดยมีพระครูสุคนธ์บุญญากร เจ้าอาวาสวัดทุ่งปุยเป็นผู้คอยอุปัฏฐากดูแล แต่ด้วยวัยที่ชราภาพมาก สุขภาพร่างกายของท่านจึงร่วงโรยไปตามวัฏสังสาร
    วันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๔๖ หลวงปู่ครูบาอินเข้าโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่เป็นครั้งสุดท้าย จนกระทั่งถึงวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๔๖ เวลา ๑๓.๑๕ น. อาการเริ่มทรุดลงเรื่อยๆ จนถึงเวลา ๑๙.๔๐ น. ท่านก็จากไปอย่างสงบ สิริรวมอายุ ๑๐๑ ปี พรรษา ๘๑
    หลังจากมรณภาพ คณะศรัทธาลูกศิษย์ลูกหา ได้จัดพิธีบำเพ็ญกุศล สวดพระอภิธรรม และบรรจุสรีระสังขารหลวงปู่ที่ไม่เน่าเปื่อย แห้งแข็งและปิดทองไว้จนเหลืองอร่ามในโลงแก้ว และจัดสถานที่ให้ศรัทธาสาธุชนได้กราบนมัสการบนกุฏิวรวุฒิคุณ วัดคันธาวาส (ทุ่งปุย) และได้จัดพิธีพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่ครูบาอิน อินฺโท ได้อย่างสมเกียรติ สมสมณะฐานะของท่าน ระหว่างวันที่ ๓๐ มกราคม-๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๐ ณ เมรุชั่วคราว วัดคันธาวาส (ทุ่งปุย)
    วัตถุมงคลของหลวงปู่
    หลวงปู่ครูบาอิน ท่านไม่นิยมชมชอบให้ใครกล่าวอ้างถึงอิทธิฤทธิ์ของวัตถุมงคลที่ท่านได้อธิษฐานจิตปลุกเสก ถึงแม้จะมีข่าวประสบการณ์วัตถุมงคลของท่านอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะด้านแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุ มหาอุดกันปืน แคล้วคลาดปลอดภัย และผลด้านเมตตามหานิยม จนเป็นที่เคารพศรัทธาและแสวงหาของผู้นิยมวัตถุมงคล แต่หากมีใครมาเล่าให้ท่านฟังถึงประสบการณ์ต่างๆ เหล่านั้น ท่านก็จะกล่าวเพียงว่า เขาเหล่านั้นยังไม่หมดกรรม ยังไม่ถึงฆาต เป็นผลของการรักษาศีลปฏิบัติดีของคนๆ นั้น วัตถุมงคลของท่านเพียงแต่เตือนสติให้ไม่ประมาท และให้ปฏิบัติตนอยู่ในศีลในธรรมเท่านั้น แต่กระนั้นก็ตาม หลวงปู่ครูบาอินก็ได้รับการยอมรับนับถือในฐานะพระเกจิอาจารย์ที่สูงยิ่งด้วยศีล จริยาวัตร และเชี่ยวชาญสรรพวิชาพุทธาคมตามตำราโบราณล้านนา ได้รับนิมนต์เข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลอยู่เสมอ และเมื่อท่านเข้าสู่วัยสูงอายุ ลูกศิษย์ลูกหาได้ขอให้ท่านงดรับกิจนิมนต์เดินทางไปร่วมพิธีพุทธาภิเษก แต่ก็ยังมีผู้นำเอาวัตถุมงคลมาขอให้ท่านเมตตาอธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยววัตถุมงคลถึงที่วัดอยู่เนืองๆ ซึ่งท่านก็สนองจิตศรัทธาทำให้ด้วยความเมตตาเสมอมา
    นับตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง หลวงปู่ครูบาอินได้สร้างวัตถุมงคลเพื่อแจกจ่ายแก่ศรัทธาชาวบ้านที่หวังที่พึ่งทางใจ ตามตำหรับตำราที่ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนมา ควบคู่ไปกับการทำเทียนบูชาซึ่งเป็นธรรมเนียมของชาวล้านนา ไม่ว่าจะเป็นเทียนสะเดาะเคราะห์ รับโชค สืบชะตา หรือเทียนบูชาเพื่อปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ วัตถุมงคลของท่านในยุคแรกก็เป็นตะกรุดและยันต์ สร้างจากวัสดุที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นยันต์โตน (ตะกรุดโทน) ยันต์ก๋าสะท้อน ยันต์กลุ่ม ยันต์คาดเอว เป็นต้น จวบจนกระทั่งในปี ๒๕๑๘ จึงได้มีลูกศิษย์ลูกหาจากกรุงเทพฯ ได้มาจัดสร้างวัตถุมงคลรุ่นแรกเป็นล็อคเก็ตพลาสติก และในปีถัดมาก็ได้จัดสร้างเหรียญรุ่นแรกถวายท่าน และมีการสร้างวัตถุมงคลเรื่อยมา
    วัตถุมงคลของหลวงปู่ครูบาอินส่วนใหญ่จะเป็นวัตถุมงคลที่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งฆาราวาส และบรรพชิตจัดสร้างมาถวายท่าน ทางวัดฟ้าหลั่งและวัดทุ่งปุย จึงไม่ได้มีการจดบันทึกรุ่นและจำนวนการสร้างไว้ให้ชัดเจน ข้อมูลที่ทราบเกี่ยวกับวัตถุมงคลของหลวงปู่ จึงอาศัยจากคำบอกเล่าของลูกศิษย์ผู้สร้างถวาย และจากการจดจำของพระเณรในวัด อีกทั้งวัตถุมงคลแม้จะมีมากมายหลายรุ่น แต่ละรุ่นก็มีจำนวนเพียงเล็กน้อย ตามกำลังศรัทธาของผู้ที่สร้างถวายเท่านั้น เมื่อสร้างเสร็จหลวงปู่ก็ได้เมตตาอธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยวแล้วก็แจกจ่ายแก่ผู้ที่มากราบนมัสการ ส่วนหนึ่งแบ่งให้เช่าบูชาเพื่อร่วมทำบุญสร้างเสนาสนะของทางวัด และร่วมทำบุญกับหลวงปู่ครูบาอินตามที่จะมีผู้มาขอเมตตาให้ท่านอุปถัมภ์งานบุญต่างๆ อยู่เนืองๆ
    กล่าวถึงการแจกพระของหลวงปู่ ผู้ที่เข้าไปกราบนมัสการท่านจะได้รับแจกวัตถุมงคลจากท่านไม่ใช่เพียงแค่ ๑ หรือ ๒ องค์ แต่ท่านมักจะให้ “เป็นกำ” ด้วยเหตุนี้ วัตถุมงคลแต่ละรุ่นที่ท่านแจกจึงใช้เวลาไม่นานก็หมดไปจากวัด
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จปรกโพธิ์ฝังพลอยกิมบ่เซียงปิดจีวรเกศาครูบาอินวัดฟ้าหลั่ง

    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250630_021543.jpg IMG_20250630_021655.jpg
     
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,320
    ค่าพลัง:
    +21,398
    FB_IMG_1750598423972.jpg

    ผ้ายันต์มงกุฎแก้วชินบัญชร วัดหัวกระบือ
    หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ปลุกเสกพิธีใหญ่
    ขนาดประมาณ 7.8*7 นิ้ว พิธีพุทธาภิเษกโดยคณาจารย์ที่ทรงคุณวุฒิมากมาย เช่น
    1.หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี กรุงเทพมหานคร
    2. หลวงปู่เส็ง วัดกัลยาณมิตร กรุงเทพมหานคร
    3. หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพะอง จ.สมุทรสาคร
    4. หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม จ.นครปฐม
    5. หลวงพ่อสุด วัดกาหลง จ.สมุทรสาคร
    6. หลวงพ่อวงษ์ วัดปริวาศ กรุงเทพมหานคร
    7. หลวงพ่อตุ๋ย วัดอนงคาราม กรุงเทพมหานคร
    8. หลวงพ่อเหยี่ยว วัดศาลาครืน กรุงเทพมหานคร
    9. หลวงพ่อจอม วัดนินสุขาราม กรุงเทพมหานคร
    10. หลวงพ่อสีหมอก วัดเขาวังตะโก จ.ชลบุรี
    11. หลวงปู่คำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ จ.ลพบุรี
    12. พระอาจารย์พร วัดปากเพรียว จ.สระบุรี ฯลฯ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250630_023517.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มิถุนายน 2025 at 13:46
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,320
    ค่าพลัง:
    +21,398
    FB_IMG_1751225436762.jpg

    หลวงปู่เริ่ม ท่านเป็นผู้ฝักใฝ่ในพระพุทธศาสนา มาตั้งแต่เยาว์วัย พออายุครบ ๒๐ ปี ท่านจึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดแหลมฉบัง ต.ทุ่งศุขลา โดยมีพระครูสุนทรธรรมรส วัดอ่างศิลา เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์จั๊ว วัดอ่างศิลา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระอาจารย์ลำดวน วัดอ่างศิลา เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายา “ปรโม” เมื่ออุปสมบทแล้ว ท่านได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดจุกกะเฌอ ซึ่งมีพระอธิการขันธ์ เป็นเจ้าอาวาส เหตุที่ท่านไม่ได้บวชที่วัดจุกกะ เฌอ เพราะในสมัยนั้น วัดจุกกะเฌอยังไม่มีพระอุโบสถ เมื่อมาอยู่วัดจุกกะเฌอ ท่านได้ศึกษาพระธรรมวินัย ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จนชาวบ้านเคารพเลื่อมใสและศรัทธาหลังจากที่ท่านบวชได้เพียง ๖ พรรษา หลวงพ่อขันธ์ เจ้าอาวาสได้มรณภาพลง ชาวบ้านจึงนิมนต์ท่านรับตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบต่อ และในปีต่อมา ท่านก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบล ทั้ง ๆ ที่ท่านยังไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระครู นับว่าท่านเป็นผู้ที่มีความสามารถ และเป็นนักปกครองที่ดี
    งานด้านการปกครอง
    พ.ศ. ๒๔๗๙ เป็นเจ้าอาวาสวัดจุกกะเฌอ, พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นพระกรรมวาจารย์, พ.ศ. ๒๔๘๕ เป็นพระอุปัชฌาย์, พ.ศ. ๒๔๘๗ เป็นเจ้าคณะตำบลบึง-หนองขาม, พ.ศ. ๒๕๑๘ รักษาการเจ้าคณะอำเภอศรีราชา, พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นเจ้าคณะอำเภอศรีราชา, พ.ศ. ๒๕๓๐ ลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดจุกกะเฌอ เพื่อรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดจุฑาทิศธรรมสภารามวรวิหาร (พระอารามหลวง) กิ่งอำเภอเกาะสีชัง ชลบุรี เพื่อสนองงานคณะสงฆ์
    สมณศักดิ์
    พ.ศ. ๒๔๘๑ เป็นพระครูชั้นประทวน, พ.ศ. ๒๔๙๓ เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบลชั้นตรี, พ.ศ. ๒๕๐๗ เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบลชั้นโท, พ.ศ. ๒๕๑๕ เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบลชั้นเอก, พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอชั้นเอก
    ในด้านพุทธาคม
    หลวงปู่เริ่ม ท่านมีความสนใจมาตั้งแต่ก่อนอุปสมบท มีพระอาจารย์เก่ง ๆ มีชื่อเสียงอยู่ที่ใด ท่านก็จะดั้นด้นเดินทางไปกราบขอศึกษาเล่าเรียนด้วยหลวงปู่เริ่มท่านเคยเล่าให้ศิษย์ฟังว่า พระอาจารย์รูปแรกของท่านคือ หลวงพ่ออ่ำ เรือเก่า อดีตเจ้าอาวาสวัดหนองกระบอก อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ที่สร้างเครื่องรางในรูป “แพะ” มีพุทธคุณด้านเมตตามหานิยมเป็นที่โด่งดังไปทั่ว
    หลวงปู่เริ่ม ท่านได้ศึกษาพุทธาคมจากหลวงพ่ออ่ำหลายอย่าง โดยเฉพาะ วิชาฝนแสนห่า และ สีผึ้งเจ็ดจันทร์ ซึ่งเป็นวิชาทางด้านเมตตามหานิยมชั้นสูง แต่ก่อนที่หลวงพ่ออ่ำจะสอนวิชาให้ ท่านได้ทดสอบสมาธิ และความกล้าหาญของหลวงปู่เริ่ม โดยจับมัดมือไพล่หลังคร่อมตออยู่ริม ป่าช้าผีดุ วัดหนองกระบอก และให้คาถามา ๔ ตัว บอกให้ภาวนาจนเชือกหลุด หลวงปู่เริ่มท่านก็สามารถทำได้ หลวงพ่ออ่ำจึงรับไว้เป็นศิษย์ ถ่ายทอดวิชาดังกล่าว
    นอกจากหลวงพ่ออ่ำแล้ว หลวงปู่เริ่มยังได้ศึกษาวิชากับพระอาจารย์อีกหลายรูป อย่างเช่น
    ไปเรียนวิชาทำปลัดขิก และหนังหน้าผากเสือ กับ หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบเรียนวิชาทำหนังหน้าผากเสือกับ หลวงพ่อสาย วัดหนองเกตุน้อย ชลบุรี, เรียนวิชาทำผง ๑๒ นักษัตร์ จาก หลวงปู่เทียน วัดโบสถ์ ปทุมธานี, และวิชาอื่น ๆ จากพระอาจารย์หลายรูป อาทิ หลวงพ่ออ่อง วัดหนองรี ชลบุรี, หลวงพ่อผุย วัดหน้าพระธาตุ พนัสนิคม ชลบุรี, เจ้าคุณศรีฯ วัดอ่างศิลา ชลบุรี เป็นต้น
    “หลวงพ่อเริ่ม” พระผู้เป็นดังดวงใจของคนเมืองชลฯ ทั้งเมือง เพราะท่านได้ถึงแก่มรณภาพด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๓๘
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จปรกโพธิ์วัดวังหิน ศรีราชา ชลบุรี ปี ๒๕๒๐
    หลวงปู่เริ่ม ปรโม วัดจุกกะเฌอ ปลุกเสก

    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250630_022911.jpg IMG_20250630_022948.jpg
     
  16. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,320
    ค่าพลัง:
    +21,398
    FB_IMG_1751267910585.jpg

    หลวงปู่ผล วัดเทียนดัด เกจิผู้ปลุกศรัทธาท่ามกลางชาวคริสต์
    .......เกจิสักยันต์ทางคงกระพัน"เต่า"คลานไหว้สังขารหน้าโลงศพ
    เมื่อเอ่ยถึงวัดเทียนดัด อ.สามพราน จ.นครปฐม นักเลงจริงยุคเก่าและนักเลงพระทุกยุคต้องยกนิ้วให้ พระครูอาทรพิทยคุณ หรือ"หลวงปู่ผล ธัมมโชติ"ยอดแห่งเกจิอาจารย์ในด้านเวทมนตร์-อาคมขลัง สหธรรมิกรุ่นเดียวกับ"หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม" แม้ชื่อเสียงจะไม่ขจรขจายเท่าหลวงพ่อเงิน แต่คนนครปฐม สมุทรสาคร ราชบุรี แม้กระทั่งชานเมืองกรุงต่างหมายมุ่งที่จะได้ครอบครองเป็นเจ้าของพระเครื่องของท่าน ซึ่งมีพุทธคุณไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ทั้งเรื่องคงกระพันชาตรี แคล้วคลาด เมตตามหานิยม
    หลวงพ่อผลท่านมีชื่อเสียงมาตั้งแต่ก่อนปี 2500 เรื่องวิทยาคมของท่านไม่เป็นรองใครในยุคนั้น ก่อนบวชก็ได้ศึกษาวิชาขอม และวิชาอาคมต่างๆจากโยมพ่อและอาจารย์หลายท่าน สมัยที่ยังหนุ่มๆท่านไปมาหาสู่หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม เพื่อสนทนาธรรมและแลกเปลี่ยนวิชาต่างๆ บางครั้งหลวงพ่อเงินไปเรียนวิชาเพิ่มเติมจากอาจารย์ใด ก็มักชวนหลวงพ่อผลไปด้วยเสมอ
    เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่นั้น ท่านเป็นผู้รู้ในวิชาโหราศาสตร์กับวิชาไสยศาสตร์มีวิชาอาคมขลังรูปหนึ่ง โดยสมัยที่กำลังเชี่ยวชาญวิชาได้เป็นหมอสักยันต์ทางอยู่ยงคงกระพัน มีลูกศิษย์มากมาย สักไปสักมาจนทางราชการขอร้องให้เลิกสัก ท่านจึงเลิกและหันมาทุ่มเทให้กับการพัฒนาวัด
    ในสมัยนั้นพวกเสือโจรเยอะมาก ได้มีกลุ่มเสือโจรระแวกบางกระทึก และวัดเทียนดัด ได้รวมกลุ่มกันเพื่อที่จะเข้าปล้น บ้านคหบดี แถววัดเทียนดัด แต่ยังไม่ทันปล้น ก็เกิดฝนตกหนัก พวกโจรกลุ่มนั้นได้เข้ามาหลบฝนในวัดเทียนดัด ขณะนั้นเอง พวกโจรกำลังประชุมเรื่องแผนปล้น หลวงพ่อผลก็เดินมาได้ยินพอดี จึงได้ขอร้องบอกให้พวกโจรกลุ่มนั้นให้เลิกปล้นกลับตัวเป็นคนดีซะเถอะ เพราะจะทำให้เขาเดือดร้อนมันเป็นบาปกรรม และให้ล้มเลิกความตั้งใจเสีย และหลวงพ่อก็ได้สอนธรรมให้กับพวกโจรกลุ่มนั้น จนพวกโจรกลุ่มนั้นได้กลับใจ
    วัตถุมงคลต่างๆที่ท่านทำพิธีปลุกเสกล้วนแต่มีพุทธานุภาพสูง ใครได้ไว้กับตัวก็จะมีแต่สิริมงคลและแคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง ท่านเคยปลุกเสกเหรียญหลวงพ่อผัน วัดเทียนดัด (พระพี่ชาย) ซึ่งเป็นเหรียญรุ่นแรกปี 2497 เหรียญรุ่นนี้มีประสบการณ์มากและราคาสูง แถมหายากมาก
    หลวงปู่ผลได้สร้างพระสมเด็จองค์ใหญ่ที่สุดไว้ในวัดเทียนดัด รายการทีวี"ตามไปดู"ของ "หมอซ้ง"สมัยนั้น ได้เข้ามาถ่ายทำนำไปออกอากาศว่ามีพระสมเด็จที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยหลวงปู่ผลได้ทำพิธีปลุกเสกด้วยตัวท่านเอง จึงทำให้พระสมเด็จองค์นี้มีความศักดิ์สิทธิ์และมีอภินิหารต่างๆปรากฎให้เห็นบ่อยๆ

    จากประวัติของท่านที่บันทึกไว้ใน"หนังสือ อนุสรณ์ 101 ปี หลวงพ่อผล วัดเทียนดัด" ท่านเกิดในตระกูล"แสงโสภา"ที่บ้านต.ท่าข้าม อ.สามพราน จ.นครปฐม ตรงกับวันเสาร์ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 12 ปีพ.ศ.2433 (ปีขาล ปีเดียวกับหลวงพ่อเงิน) เป็นบุตรของนายใหญ่ ชาวอยุธยา และนางทองสุข ชาวนครปฐม ครอบครัวประกอบอาชีพทำนา มีพี่น้องรวม 10 คน เป็นผู้ชาย 3 คน และผู้หญิง 7 คนคือ 1. นางใย 2. นางยวง 3. นางพวง 4. นายพัน 5. นางเป๋า 6. นางอิน 7. นางแดง 8. นางวิน 9. นายผัน แสงโสภา (หลวงปู่ปลัดผัน) 10. นายผล (หลวงปู่ผล)
    เยาว์วัยพออ่านเขียนหนังสือได้ เมื่ออายุครบเกณฑ์ก็ไปเป็นทหาร หลังปลดประจำการแล้วไดัอุปสมบทที่วัดเทียนดัด โดยมีพระอธิการแสง วัดนางสาว เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการคง วัดนางสาว เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระปลัดใจ วัดเชิงเลน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาว่า"ธัมมโชติ" ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดเทียนดัด ต่อมาได้ไปศึกษาพระธรรมวินัยที่วัดมหาธาตุ โดยอาศัยพำนักอยู่ที่วัดระฆังโฆสิตาราม ธนบุรี
    เมื่อสอบได้นักธรรมขั้นตรีแล้วก็ได้มาเป็นครูสอนปริยัติธรรมที่วัดเทียนดัด และวัดต่างๆหลายวัด เพราะสมัยนั้นหาครูผู้สอนยากมาก โดยได้ไปๆมาๆที่วัดระฆังเสมอ เพราะต้องการเรียนวิชาต่างๆ โดยเฉพาะการเรียนวิปัสสนากรรมฐานที่ท่านสนใจอย่างมากและท่านมีความรู้ด้านนี้พอสมควร

    ยิ่งไปกว่านั้นท่านยังได้เรียนวิชาถ่ายภาพ วิชาเขียนภาพ วิชาเครื่องยนต์ ตลอดจนวิชาไสยศาสตร์เวทมนต์ คาถาจากอาจารย์ต่างๆ แล้วได้นำหลักการทำพระสมเด็จของสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) วัดระฆังมาทำเป็นครั้งแรกช่วงปี พ.ศ.2471-2472 กับพระปลัดผัน พระพี่ชายของท่าน
    หลวงปู่ผลมีอุปนิสัยใจคอเยือกเย็น มีเมตตาธรรมแก่คนทั่วไป ท่านยังเป็นที่คุ้นเคยและเคารพนับถือของพระผู้ใหญ่หลายรูป นอกจากมีวิชาอาคมขลังแล้ว ท่านยังเป็นพระนักพัฒนาที่ตั้งใจบริหารวัดจนเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด มีอาคาร กุฏิ ศาลาบำเพ็ญกุศล เมรุ ถังน้ำบาดาลคอนกรีต ห้องสมุด โรงเรียนปริยัติธรรม อีกทั้งซ่อมอุโบสถและศาลาการเปรียญที่ชำรุดทรุดโทรม ศาลาเอนกประสงค์ ที่สำคัญ ท่านชอบบริจาคทรัพย์ช่วยเหลือคนยากจน และผู้ประสบภัยต่างๆ เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วมที่ไหน ท่านก็บริจาคเงินช่วยเหลือทันที
    ในปีพ.ศ. 2528 ท่านจัดพิธีหล่อรูปพระพุทธปางลีลา โดยไดัทูลเชิญ สมเด็จพระเทพรัตนสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาทรงเป็นประธานเททองและยกช่อฟ้าอุโบสถ เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2528 ต่อมาในปี พ.ศ.2530 ท่านได้เป็นประธานสร้างเจดีย์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสเจริญพระชนมายุครบ 60 พรรษา และให้เป็นเจดีย์องค์สำคัญประจำจังหวัด เพื่อให้ประชาชนได้สักการะบูชา เจดีย์มีความสูง 38 เมตร กว้าง 12 เมตร ด้านข้าง 4 ด้าน กว้างด้านละ 4 เมตร องค์เจดีย์ปูโมเสกทั้งองค์ พื้นปูหินอ่อน รวมค่าก่อสร้าง 4,000,000 บาทเศษ ครั้นเมื่อวันที่ 10 ม.ค.2532 เป็นวันกำหนดฤกษ์ยกฉัตรเจดีย์ ท่านอาพาธไม่สามารถมาได้ ทำได้เพียงการจับสายสิญจน์อยู่ที่กุฏิ โดยมอบให้พระเทพวรเวที รองเจ้าคณะภาค วัดไร่ขิง มาเป็นประธานแทน
    ผ่านมาได้ 3 วัน ท่านก็มรณภาพลงเมือวันพฤหัสบดีที่ 14 ม.ค. 2532 เวลา 04.00 น ที่โรงพยาบาลบางไผ่ กรุงเทพฯ สิริอายุ 99 ปี ทางวัดจัดพิธีบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมที่ศาลาการเปรียญเป็นเวลา 100 คืน ได้รับเงินจากผู้บริจาค 500,000 บาทเศษ (คณะกรรมการได้นำเงินสร้างพุทธเจดีย์ศรีปฐมบรมธาตุ 200,000 บาท เพื่ออุทิศถวายให้ท่าน
    มีเหตุการณ์อัศจรรย์คือ หลังจากหลวงปู่ผลมรณภาพไปแค่ไม่กี่วัน เต่าที่ท่านได้สลักชื่อและปล่อยไปนานแล้วได้คลานกลับขึ้นมาจากน้ำมาอยู่บริเวณโลงที่บรรจุสังขารของท่านประมาณ15วันก่อนจะคลานกลับลงน้ำไปตามเดิม ประหนึ่งว่ามันมาเคารพสักการะสังขารหลวงปู่ผล
    หลวงปู่ผลได้สร้างพระบูชา พระเครื่อง และเหรียญต่างๆไว้หลายชนิดหลายรุ่น เริ่มจากประมาณปี พ.ศ.2471- 2472 ได้สร้างพระสมเด็จดำ และสมเด็จลูกประคำ 108 โดยนำสูตรการทำสมเด็จนี้มาจากวัดระฆังที่ท่านเคยไปจำพรรษา โดยใช้มวลสารวัตถุสำคัญๆมากมายหลายอย่างมาสร้าง เช่น ผงใบโพธิ์ 108 วัด (ตามตำราสมุดข่อยที่วัดเทียนดัด), ผงว่าน 108 อย่าง, ผงพระหักๆที่ชำรุดใช้ไม่ได้หลายร้อยองค์, ผงแร่ต่างๆที่สำคัญ, ผงปูนพระเกศของหลวงพ่อวัดไร่ขิง และผงปูนพระใหญ่ที่สำคัญหลายวัด, ผงวัตถุที่สมเด็จโตเคยใช้ทำผสมพระ เช่นผงพลู 2 หาง, ไคลโบสถ์, ไคลเจดีย์, ไคลเสมา, ผงพุทธคุณ ผงอิทธิเจ ผงมหาราช ผงปถมังของอาจารย์ต่างๆ, ผงดินสังเวชนียสถานที่ประเทศอินเดีย, น้ำพุทธมนต์ของเกจิอาจารย์ต่างๆ และของท่านเอง
    จากนั้นในปี พ.ศ.2500 เป็นต้นมาได้สร้างพระสมเด็จชานหมาก เหรียญ ผ้ายันต์ พระกริ่งธัมมโชติ (รุ่นแรก) และพระกริ่งโปร่งฟ้า พระชัยวัฒน์รัตนมงคล ครั้นเมื่ออายุ 92 ปี ท่านได้สร้างลูกประคำ 108 และชนิด 9 เม็ด และพระสมเด็จลายเซ็น มีรูปเจดีย์อยู่ด้านหลัง
    เกี่ยวกับเรื่องการสร้างความขลังแก่พระเครื่องมงคล หลวงปู่ผลท่านได้เปิดเผยให้ฟังว่า ท่านได้ตำราดีจากตำนานที่เป็นใบลานที่ผูกไว้เป็นเกณฑ์ ซึ่งล้วนแต่เป็นภาษาขอม แต่ท่านก็อ่านออก เขียนได้ทั้งนนั้น ส่วนคาถาต่างๆ ที่คนโบราณเขียนไว้นั้น มีอยู่ทุกชนิด ทั้งคาถาเมตตามหานิยม และคงกระพันชาตรี ตลอดจนอื่นๆอีกที่มีทั้งให้คุณและให้โทษ แต่หลวงปู่ท่านเลือกเอาแต่วิชาที่ให้คุณเท่านั้น เพราะท่านถือความมีเมตตาเป็นใหญ่
    "พระกริ่งโปร่งฟ้าชินบัญชร " เป็นวัตถุมงคลยอดนิยมอย่างหนึ่งของหลวงปู่ผล สร้างขึ้นในโอกาสฉลองอายุครบ 89 ปี ในปีพ.ศ.2521 ท่านได้ลงจารแผ่นทองแดงด้วยตนเอง แล้วอาราธนาพระเกจิอาจารย์ร่วมสมัยที่ทรงวิทยาคมมาช่วยจารและนั่งปรกปลุกเสกเพื่อให้เกิดความเข้มขลังยิ่งขึ้น อาทิ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี,หลวงพ่อเพิ่ม วัดสรรเพชร,หลวงพ่อทองอยู่ วัดหนองพะอง,หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ,หลวงพ่อผ่อง วัดสามปลื้ม,หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม,หลวงพ่อสุด วัดกาหลง หลวงพ่อเส่ง วัดกัลยาณมิตร,หลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช,หลวงพ่ออุตตมะ วัดวิเวการาม กาญจนบุรี,พระอาจารย์ธรรมรังสี วัดเทียนดัด ฯลฯ
    พระกริ่งโปร่งฟ้าฯได้สวดคาถาชินบัญชร คาถาทิพย์มนต์ อิติปิโส 1019 จบ คาถาบารมี 30 ทัศ และมนต์บทสำคัญๆอีกมากบท โดยมีอุปเท่ห์ในการใช้ว่า ผู้ใดมีพระกริ่งโปร่งฟ้าไว้บูชา ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน ความรัก อาชีพ หรือปัญหาอุปสรรคใดๆ จะสำเร็จลุล่วงปลอดโปร่ง ไม่พบกับปัญหาติดขัดใดๆเลยสมดังชื่อของพระกริ่ง
    สำหรับประสบการณ์ทางด้านวัตถุมงคลนั้นมีให้เห็นจนเป็นที่ศรัทธาของชาวเทียนดัดและคนในละแวกนั้น แม้กระทั่งคนที่นับถือศาสนาคริสต์ซึ่งมีอยู่จำนวนมาก ต่างก็ให้ความเคารพรักหลวงพ่อผลไม่ต่างจากชาวพุทธเลย เพราะท่านเป็นผู้เมตตา และเมื่อใดมีคนมาขอบูชาวัตถุมงคลท่าน ท่านก็จะสอนธรรมมะเสริมให้อีก
    ท่านบอกว่า วัตถุมงคลของท่านสร้างเพื่อ 1.ทำให้คนเข้าวัด พระจะได้มีโอกาสสั่งสอน 2.แขวนพระแล้วจะได้มีจิตระลึกไม่ให้ทำความชั่ว 3.เพื่อคุ้มภัย (ถ้าเชื่อว่าคุ้มได้เพราะมั่นใจ) 4.จะได้นำปัจจัยมาพัฒนาวัดให้เจริญๆ

    สำหรับลูกศิษย์สายตรงแล้ว เชื่อเต็มร้อยว่า พระเครื่องทุกชนิดของหลวงปู่ผลช่วยให้สัมฤทธิผลด้านดี

    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250630_132832.jpg IMG_20250630_132903.jpg


     
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,320
    ค่าพลัง:
    +21,398
    FB_IMG_1751268726793.jpg

    หลวงพ่อมหาโพธิ์ท่าน มรณะภาพ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2549 สิริอายุ 86 ปี
    ประวัตท่านบางส่วนครับ
    ฝึกวิชา
    พระอาจารย์บุญยังได้พยายามถ่ายทอดวิชาต่างๆ ด้านพุทธคุณให้ ตอนแรก ๆ หลวงพ่อไม่สนใจ แต่เมื่ออยู่กับท่านนาน ๆ ไปหลวงพ่อเริ่มมีความสนใจขึ้น เห็นพระอาจารย์ท่านทำอะไร ๆ แปลกๆ ให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ เช่น ทำควายธนูด้วยตอกสาน โดยสานมือเดียวแล้ววางไว้ ควายธนูก็มีการขยับเขยื้อนได้ เสกน้ำมันจนเดือดเหมือนน้ำร้อน ฟองเดือดขึ้นมา แต่เมื่อไปสัมผัสด้วยมือกลับไม่ร้อน ทำให้ท่านอยากจะเรียน พระอาจารย์ของหลวงพ่อก็ถ่ายทอดให้ทั้งคาถาปลุกเสก และวิธีฝึก
    วิชาเกราะเพชร
    วิชาหนึ่งที่ท่านชอบและฝึกมาตั้งแต่ต้น คือ “ยันต์เกราเพชร” หรือตาข่ายเพชร โดยหลวงพ่อบุญยังได้เล่าให้ท่านฟังว่าสมัยหลวงปู่ศุข ยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้ลองวิชาเกราะเพชรกับพระะรูปหนึ่ง ที่แก่กล้าวิชาที่เดินทางผ่านวัดปากคลองมะขามเฒ่า โดยบอกหลวงปู่สุขว่าจะขี่ม้าพยนต์เข้ามาในโบสถ์ให้ดู หลวงปู่ศุขท่านได้เอาผ้ายันต์เกราะเพชรขึงไว้หน้าประ ตู ปรากฎว่าม้าพยนต์ไม่สามารถผ่านยันต์เกราะเพชรหรือตาข ่ายเพชรไปได้ พระรูปนั้นเมื่อแพ้วิชาของหลวงปู่ศุข ก็ได้เดินทางกลับไปจากวัดปากคลองมะขามเฒ่าเมื่อหลวงพ ่อมหาโพธิ์ได้ฟังจากหลวงพ่อบุญยังเล่าท่านจึงสนใจและ เล่าเรียนวิชาเกราะเพชรลงตระกรุด และผ้ายันต์เกราะเพชรมาตลอดอายุของท่าน
    การลงยันต์เกราะเพชร ต้องท่องสูตรคาภาพระอิติปิโสรัตนมาลา ๕๖ บาท ให้ได้จนขึ้นใจทั้งเดินหน้า และถอยหลังได้รวมทั้งบทปลีกย่อยอื่น ๆ อีกมากมาย ในการลงยันต์เกราะเพชร ท่านบอกว่ายันต์เกราะเพชร เป็นยันต์ที่ค่อนข้างยากผู้เรียกจะต้องมีความขยันหมั ่นเพียร กับความอดทน และการประสิทธิ์ประสาทจากครูบาอาจารย์ น้อยคนนักที่จะลงยันต์เกราะเพชรได้ บางคนมาขอเรียนเห็นพระคาถา ๕๖ บาท ก็ท้อแล้วไม่อยากจะท่องจำ ความเพียรพยายามไม่มี การลงยันต์ก็ต้องหายใจลงตามสูตรพระคาถา ๕๖ บาท ผู้ที่ฝึกฝนใหม่ ๆ ต้องใช้เวลาเรียนเกือบทั้งวันกว่าจะลงยันต์เสร็จ อย่างตัวของหลวงพ่อเองใช้เวลาประมาณ ๒ ชั่งโมง ถือว่าลงได้เร็วมากแล้วเพราะท่านฝึกมา ตั้งแต่อายุยังรุ่นอยู่
    ในสมัยก่อนยามว่าง ท่านมักลงตระกรุดเกราะเพชรและทำผงพุทธคุณเกราะเพชรทั ้งชนิดป้องกันตัว และถอนคุณถอนของคนที่ถูกผีเข้า ท่านจะเอาตะกรุดเกราะเพชรที่เป็นแผ่นแบบยังไม่ได้ม้ว นเป็นตะกรุด ตบหัวคนถูกผีเข้า ผีจะทรุดลง และออกจากตัวคนไข้ไปทันที ตะกรุดส่วนใหญ่ท่านจะใช้แผ่นทองแดงมาลงยันต์เกราะเพช ร ยกเว้นแผ่นถอนของท่านจะใช้แผ่นตะกั่ว ส่วนตะกรุดเนื้อเงินท่านจะลงให้เฉพาะกับศิษย์ใกล้ชิด เท่านั้น เกี่ยวกับประสบการณ์ในตะกรุดเกราะเพชร มี ส.ส.ท่านหนึ่งใน จ.ชันนาท ที่เคารพนับถือหลวงพ่อมากได้ขอตะกรุดท่านไปใช้พกติดต ัว ขณะหาเสียงถูกผู้ที่ปองร้ายใช้ระเบิดปาใส่ ปรากฏว่า ส.ส.ท่านนั้นไม่เป็นอะไรเลย วิชาลงตะกรุดใต้น้ำ
    หลวงพ่อบุญยังได้เรียนวิชาตะกรุดใต้น้ำจากหลวงปู่ศุข โดยสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้ลงให้กับลูกศิษย์ทุกปี แม้กระทั่งพระสมุห์กลับ แสงเขียว ก็ยังขอให้ท่านช่วยลงตะกรุดใต้น้ำที่วัดดอนตาลให้ โดยก่อนที่จะประกอบพิธีจะต้องตั้งเครื่องบูชาครูริมแ ม่น้ำ และต้องตอกเสาหลักไว้ในน้ำสำหรับผู้ที่จะลงตะกรุดเกา ะไว้ ไม่อย่างนั้นจะถูกน้ำพัดลอยไปตามกระแสน้ำ ตะกรุดจะลง และปลุกเสกใต้น้ำเสร็จแล้วจะปล่อยให้ลอยขึ้นมาบนผิวน ้ำ พวกลูกศิษย์ก็จะแจวเรือคอยเก็บอยู่ข้างบน หลวงพ่อบุญยังเล่าให้หลวงพ่อบุญยังฟังว่าน้ำที่
    วัดดอนตาลน้ำเย็นเหลือเกิน หลวงพ่อมหาโพธิ์เล่าว่า ท่านเคยขอเรียนวิชาตะกรุดใต้น้ำนี้จากท่านอาจารย์บุญ ยัง ซึ่งอาจารย์ท่านก็รับปากถ่ายทอดให้แต่ต้องเรียนในวัน เพ็ญเดือน ๑๒ แต่ยังไม่ทันถึงเดือน ๑๒ หลวงพ่อบุญยังก็มรณะภาพลงเสียก่อนเมื่ออายุได้ ๕๕ เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก ที่หลวงพ่อท่านเรียนจากพระอาจารย์ไม่ทันจึงทำให้วิชา นี้สูญไป
    เกี่ยวกับวันที่หลวงพ่อบุญยังมรณภาพ ชาวบ้านแถบวัดปากคลองมะขามเฒ่า ได้เห็นลูกๆไฟดวงใหญ่ลอยเดินทางไปยังวัดหนองน้อย และได้ลอยกลับมาโดยมีลูกๆไฟดวงเล็กตามมาด้วยเป็นที่ตื อันตาตื่นใจแก่ผู้คนในสมัยนั้นมากเล่าขานกันมาจนถึงปัจุบันนี้
    ชีวิตฆราวาส
    ท่านได้สมรสกับ นางสุขใจ เป็นผู้ที่ค่อนข้างจะมีฐานะดีในจังหวัดชัยนาท แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน ได้มีร้านค้าขายของชำอยู่ในอำเภอวัดสิงห์ ยามว่างท่านก็จะไปศึกษาวิชาความรู้ทางไสยศาสตร์กับ พระสมุห์กลับ แสงเขียว วัดดอนตาล ซึ่งถือกันว่าเป็นศิษย์มือขวาของหลวงปู่ศุขเลยทีเดีย ว พระสมุห์กลับภายหลังท่านสึกจากพระเสียอีก
    ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ หลวงพ่อมหาโพธิ์ซึ่งตอนนั้นท่านอยู่ในเพศฆราวาส ท่านได้ลงสมัครเลือกตั้งเป็น เทศมนตรีเทศบาล อำเภอวัดสิงห์ ในวาระ ๔ ปำถึง ๒ สมัย รวมเป็น ๘ ปีถึง พ.ศ.๒๕๐๗ ท่านได้เล่าไห็ฟังว่าตอนหาเสียงท่านก็ไม่ค่อยได้ออกไ ปหาเสียงที่ไหนอยู่ในร้านค้าของท่านในอำเภอวัดสิงห์ ค้าขายของไปวัน ๆ หนึ่ง แต่อาศัยที่ท่านได้รับการถ่ายทอดวิชาไสยศาสตร์จากหลว งพ่อบุญยัง และพระสมุห์กลับ ด้วยอานุภาพความศักดิ์ของวิชา นะฤาชา ที่หลวงพ่อบุญยัง ถ่ายทอดไห้มาเป็นพิเศษ จึงทำให้ท่านเป็นที่รู้จักเลื่องลือไปทั้งอำเภอวัดสิ งห์ เป็นที่นิยมชมชอบของประชาชน อำเภอวัดสิงห์ ท่านลอกว่าท่านไม่ต้องไปเหนื่อยกับการหาเสียงเลย ประชาชนทั่วไปเลือกท่านเป็นเทศมนตรีเทศบาล อำเภอวัดสิงห์ ถึง ๒ สมัย จนในปี ๒๕๑๗ กระทรวงมหาดไทยมอบใบประกอบในประกาศนียบัตร ชมเชยในการทำงานของท่าน ที่พัฒนา อำเภอวัดสิงห์ ให้มีความเจริญก้างหน้าแก่ ท้องถิ่น หลังจากที่ท่านได้หมดวาระในตำแหน่งเทศมนตรีไปแล้ว ๙ ปี
    เหตุที่กลับมาบวช
    หลวงพ่อมหาโพธิ์ท่านได้เล่าว่า ชีวิตของท่านมีความผูกพันกับวัดเสมอห่างจากวัดไม่ได้ แม้จะครองเพศฆราวาสก็ต้องวนเวียนอยู่กับวัด ก่อนที่ท่านจะกลับมาบวชจิตใจก้รุดมร้อน ทำอะไรก็เหมือนคนเสียสติ จนต้องเข้าโรงพยาบาลรักษาตัวโดยไม่มีสาเหตุของโรค จนมีอยู่วันหนึ่งขณะนอนอยู่ที่โรงพยาบาล ท่านได้ลุกขึ้นมาเขียนยันต์ต่าง ๆ ตลอดจนยันต์ครูที่ท่านเคยเรียนมา ได้ทิ้งไปนานไม่ได้ทบทวนเลย ซึ่งในเพศฆราวาสท่านก็ไม่ได้ฝึกฝนทบทวนต่อ เพราะเวลาว่างใหญ่จะไปทางโลกหมด ต้องวุ่นวายกับครอบครัวเรื่องการทำมาหากินเวลาปฏิบัต ิทางธรรมทางวิชาคุณพระก็หย่อนยานไป ขาดการไหว้ครูทุก ๆ ปี ก็เลยทำให้ท่านผิดปรกติ แต่ก็ดลจิตให้นึกขึ้นมาได้ ว่าสาเหตุจากแรงครูนี้เองโดยไม่ต้องให้แพทย์รักษา ในปี พ.ศ.๒๕๐๙ ท่านก็ได้เข้ามาสู่สมณเพศ อุปสมบทเป็นพระภิกษุอีกครั้งที่วัดพานิชนาราม อำเภอวัดสิงห์ จ.ชัยนาท โดยมีพระอุปัชฌาย์ คือ พระครูสิงหชยสิชฌน์ (เจริญ) พระกรรมวาจารย์ พระคูครูแบน เจ้าอาวาสวัดโคกสุข และพระแช่ม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันที่ ๒๖ เดือน มิถุนายน พ.ศ.๒๕๐๙ เวลา ๑๖.จ๕ น.และได้มาตำพรรษา สังกัดวัดโคกสุข ต.หนองน้อย อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาม จนถึงปี พ.ศ. ๒ษ๕๑๓ ได้ย้ายมาตำพรรษาอยู่ ณ วัดคลองมอญ ในวันที่ ๒๖ กันยายน เพราะวัดคลองมอญในเวลานั้นเกือบจะเป็นวัดล้างอยู่แล้ วไม่มีพระภิกษุจำพรรษาอยู่เลย ชาวบ้านที่อาศัยแถววัดคลองมอญ ได้นิมนต์ท่านให้มาปกครองวัดคลองมอญอยู่หลายครั้ง จนท่านต้องมาเป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดคลองมอญ ได้สร้างความเจริญให้กับวัดคลองมอญเป็นอันมาก
    กิตติคุณของหลวงพ่อ
    ซื่อเสียงของท่านล่ำลือไปไกลหลายจังหวัด ในเรื่องการรักษาโรคต่าง ๆ ที่ไม่มีสาเหตุ ซึ่งแพทย์แผนปัจจุบันรักษาไม่ได้ บางคนต้องมารักษาเป็นแรมเดือน ตอนนั้นท่านอยู่ในโบสถ์ รักษาคนไข้โรคแปลกๆ มีทั้งคนถูกคูณถูกของ ทั้งเสน่ห์เล่ห์กลต่าง ๆ น้ำมันพรายฯลฯ บางคนป่วยปางตายท่านก็รักษาจนหายมีชีวิตอยู่รอดได้ ผู้มีจิตศรัทธาจำนวนมากต่างก็มานมัสการท่านขอความเมต รตาจากท่านๆก็ได้สงเคราะห์ให้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหน ื่อย ไม่เลือกชั้น วรรณะ ให้ ความเสมอภาคกับทุกๆ คนเสมอมา จนถึงปี พ.ศ. ๑๔๒๖ ท่านก็ได้หยุดรักษาคนไข้ ประกอบกับอายุสังขารท่าน ก็ชราภาพมากแล้วจึงต้องได้รับการพักผ่อน บำรุงรักษาร่างกายให้มีสุขภาพดี เป็นเนื้อนาบุญให้กับลูกศิษย์ และญาติโยม จะได้พึ่งบารมีของท่านไปได้อีก นาน ๆ จนถึงปัจจุบันนี้ (พ.ศ.๒๕๔๔ ) หลวงพ่อมาหาโพธิ์ญาณสังวโร เป็นทายาทศิษย์สายตรงของหลวงปู่ศุข ที่ถ่ายทอดตำราคัมภีร์ด้านพุทธคุณในศิษย์รุ่นที่ ๓ ที่ได้รับมาแต่ผู้เดียว
    การรักษาโรค
    หลวงพ่อมหาโพธิ์ท่านได้สอนวิธีการรักษาให้กับผู้เขียนในตัวผู้ป่วยที่อยู่ในอาการต่างๆ อาการอย่างไรควรรักษาด้วยวิธีการใด บางคนเป็นแผลเน่าไปทั้งตัว เคยไปรักษาที่โรงพยาบาล หมอปัจจุบันบอกว่าเป็นมะเร็ง รักษาอยู่หลายปีไม่หาย ได้ยินชื่อเสียงของหลวงพ่อมหาโพธิ์ ญาติพี่น้องได้พามารักษาที่ วัดคลองมอญ เมื่อหลวงพ่อดูอาการแล้วบอกว่า “โดนผีคุณ” ไม่ไช่มะเร็งหลวงพ่อท่านได้ใช้ปูนกับน้ำมนต์รักษาคนไ ข้ ใช้มีดหมอสับ และไม้เท้ากดตามตัวคนไข้ ก่อนทำการรักษาต้องมีดอกไม้ ธูปเทียน และเงิน ๖ บาทสลึงเป็นค่าบูชาครู และต้องบนครูด้วยว่า เมื่อหายจากอาการป่วยแล้วจะถวายครูด้วยไก่ ๑ ตัว, เหล้าขาว ๑ ขวด ,กล้วย ๑หวี, ข้าวสาร ๑ ถ้วย , และเงิน ๖ บาทสลึง เป็นสิ่งที่แปลกผู้คนส่วนมาก ที่มารักษาจากหลวงพ่อหายจากโรคร้ายทุกคน เมื่อถึงวันไหว้ครูจะมีผู้คนมามากมายถวายขวัญข้าวครู เต็มโบสถ์ไปหมดแทบจะไม่มีทางเดินเลย

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงพิมพ์ประภามณฑลทรงครุฑหลวงพ่อมหาโพธิ์ วัดคลองมอญ ชัยนาท

    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250630_132952.jpg IMG_20250630_133049.jpg
     
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,320
    ค่าพลัง:
    +21,398
    FB_IMG_1751233521602.jpg

    รูปหล่อลอยองค์ท่านท้าวมหาพรหมเอราวัณ (ศาลพระพรหมเอราวัณ สี่แยกราชประสงค์) รุ่นแรก ปี ๒๕๑๔ เนื้อชนวนโลหะเปียกทองเดิม สร้างพร้อมกับเหรียญพระพรหมเอราวัณรุ่นแรก สภาพสวยเดิมๆ ถือว่าเป็นวัตถุมงคลยุคต้นๆตั้งแต่ก่อตั้งศาลพระพรหมเอราวัณขึ้นในปี 2499 โดยมีหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี กรุงเทพฯ ปลุกเสก โดยที่ทางมูลนิธิท่านท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณ ได้จัดสร้างขึ้นเพื่อแจกเป็นที่ระลึกให้กับผู้ที่บริจาคเงินเข้ามูลนิธิ อลังการงานสร้าง มหาพิธีพุทธาภิเษกอย่างยิ่งใหญ่ มีพระเกจิอาจารย์เก่งๆในยุคนั้นหลายสิบรูปมาร่วมมหาพิธีพุทธาภิเษกในครั้งนี้ อาทิ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี และพระเกจิอาจารย์ชื่อดังทั่วเขตกรุงเทพฯและใกล้เคียง เป็นต้น
    พระพรหม คือ พระเจ้าผู้สร้าง ผู้ที่ลิขิตชีวิตความเป็นไปของมนุษย์ทุกคน พระพรหมจึงเป็นผู้รู้ความเคลื่อนไหวของสรรพชีวิต เหตุการณ์สำคัญของโลกล้วนอยู่ในสายตาของพระพรหมองค์ท่าน พระพรหม คือ มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ ๑ ใน ๓ ตรีมูรติ พระองค์ทรงรับฟังคำอธิษฐานของผู้ที่ศรัทธาเสมอ ผู้ที่บูชาองค์พระพรหมและทำความดีสม่ำเสมอ จะได้รับการบันดาลพรให้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนา
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 550 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250630_171551.jpg IMG_20250630_171620.jpg IMG_20250630_171642.jpg IMG_20250630_171513.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...